กระบวนการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมือง ภายหลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 จากขั้วอำนาจเก่าฝ่ายอนุรักษนิยม สู่ขั้วอำนาจใหม่ฝ่ายเสรีประชาธิปไตย มีสัญญาณดีว่าได้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วกว่ากรอบเวลาที่หลายคนคาดการณ์เอาไว้
จากกรอบเวลาเดิมที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ต้องประกาศรับรองผลเลือกตั้งส.ส.ให้ได้จำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 หรือ 475 คนจาก 500 คน ภายในไม่เกิน 60 วัน เดดไลน์วันที่ 13 กรกฎาคม
แต่ปรากฏว่าวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ภายหลังการประชุม กกต.ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งส.ส. รวดเดียวครบทั้ง 500 คน คิดเป็นร้อยละ 100
นั่นหมายความว่า กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งเสร็จสิ้น เร็วกว่ากรอบเวลาไทม์ไลน์เดิมกว่า 3 สัปดาห์
ขั้นตอนถัดมา กฎหมายกำหนด 15 วันนับจากวันประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ต้องมีการเปิดประชุมสภาเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
ตามไทม์ไลน์เดิมคาดการณ์ หลังจากส.ส. 500 คนรายงานตัวเสร็จสิ้น จะมีการเรียกประชุมสภานัดแรกช่วงปลายเดือนกรกฎาคม
แต่เมื่อปรากฏขั้นตอนส่วนของ กกต.ในการพิจารณาประกาศรับรองผลเลือกตั้งเร็วขึ้น 3 สัปดาห์ จึงเป็นผลให้การประชุมสภานัดแรกเพื่อเลือกประธานและรองประธานสภา ต้องขยับตามเป็นต้นเดือนกรกฎาคม
ขณะที่พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย สองพรรคใหญ่แกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสม 8 พรรค เจรจาลงตัว
สรุปตำแหน่งประธานสภาจะเป็นของพรรคก้าวไกล เก้าอี้รองประธานสภา อันดับ 1 และ 2 จะเป็นของพรรคเพื่อไทย
จากนั้นการเมืองเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญคือ การประชุมร่วมรัฐสภา ส.ส. 500 คน กับส.ว. 250 คน รวม 750 คน เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี กติการะบุว่า ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีต้องได้รับเสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งหรือ 376 เสียง
ตามไทม์ไลน์ใหม่คาดว่า ขั้นตอนการโหวตนายกรัฐมนตรีนี้จะเกิดขึ้นช่วงกลางเดือนกรกฎาคม จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี และถวายสัตย์ปฏิญาณ หากเป็นไปตามนี้ประเทศไทยจะได้รัฐบาลใหม่สมบูรณ์ในปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม
ยกเว้นเกิดปัญหาสะดุดไปต่อไม่ได้ โดยเฉพาะ ขั้นตอนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่ส.ว.มีบทบาทสำคัญ ในการตัดสินใจว่าจะโหวตตามเจตนารมณ์ประชาชนส่วนใหญ่ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่นไปตามระบบหรือไม่
ทั้งนี้ส.ว.จะต้องไตร่ตรองให้ดีว่า ควรจะร่วมกันทำให้การเมืองไทยเดินหน้าไปอย่างราบรื่น เคารพเสียงประชาชนจากผลการเลือกตั้ง และการตั้งรัฐบาลหากล่าช้าจะกระทบต่อเศรษฐกิจตามมาอีก