แท้จริงแล้ว พรรคเพื่อไทยมิได้มีจำนวน ส.ส.เพียง 141 อยู่ในมือ
มองผ่าน “คณิตศาสตร์” ทางการเมือง ปริมาณกว่า 10 ล้านคะแนนของพรรคเพื่อไทยตกเป็นรองปริมาณกว่า 14 ล้านคะแนนของพรรคก้าวไกลชัดเจน
ส่งผลให้พรรคก้าวไกลได้ 151 ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยได้ 141
คำถามก็คือเหตุใดในการขับเคลื่อนแต่ละจังหวะก้าวในทางการเมืองจึงสัมผัสได้ในการรุกและรุกอย่างต่อเนื่องของพรรคเพื่อไทย
รุกเพราะ “อาวุโส” รุกเพราะ “เขี้ยว” กว่ากระนั้นหรือ
แม้จะ “หน้าใหม่” อย่างยิ่ง แต่พรรคก้าวไกลก็รับรู้ในการรุกจากพรรคเพื่อไทย
ตัวอย่างแรกสุดย่อมเป็นการรุกในห้วงหน้าสิ่วหน้าขวานก่อนการลงนามร่วมในบันทึกช่วยจำหรือเอ็มโอยูในวันที่ 22 พฤษภาคม
กำหนดฤกษ์งามยามดีในเวลา 16.30 น.
ทำไม “ข้อต่อรอง” อันมากด้วย “เงื่อนไข” ที่เสนอขึ้นแต่ละประเด็นจึงทำให้พรรคก้าวไกลจำเป็นต้องปรับ จำเป็นต้องยอมรับแม้ว่าจะเจ็บปวด
นั่นเพราะว่าพรรคเพื่อไทยมิได้มีเพียง 141 เท่านั้น
ต่อเมื่อประสบเข้ากับกรณีตำแหน่ง “ประธานสภา” พรรคก้าวไกลจึงประจักษ์
แท้จริง พรรคเพื่อไทยมีพันธมิตรที่แนบแน่นชื่อพรรคประชาชาติ และ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ให้เป็นทางเลือกอันเหมาะสมเป็นที่ยอมรับ
อย่าลืมบทบาทของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
อย่าลืมว่าภายใน 8 พรรคการเมืองยังมีบางพรรคที่แนบแน่นอย่างที่สุดอยู่กับพรรคเพื่อไทยและพร้อมเกี่ยวขาไปในแนวทางเดียวกัน
เสียงข้างมากอาจเป็น “เพื่อไทย” อาจมิใช่ “ก้าวไกล”
การดำรงอยู่ของพรรคเพื่อไทยในพันธมิตร 8 พรรคจึงมิได้เป็นเกวียนที่ว่างเปล่า
มองจากสื่อที่ต่อต้านพรรคก้าวไกลอย่างกระหายเลือด ทุกก้าวย่างอาจเป็นสงครามในลักษณะ “สั่งสอน” จากพรรคเพื่อไทย
กระนั้น ในการตั้งรับของพรรคก้าวไกลก็มากด้วย “บทเรียน”