ฤดูร้อนที่ประเทศญี่ปุ่นมีดีกว่าที่คิด เป็นเสน่ห์ที่แตกต่างจากฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นช่วงเวลายอดนิยมของการท่องเที่ยวญี่ปุ่น

แต่หน้าร้อนเป็นช่วงเวลาของความสดชื่นสดใสของคนญี่ปุ่นที่จะออกไปท่องเที่ยว รวมทั้งเรานักท่องเที่ยวที่มาจากเมืองร้อน!

ฤดูร้อนในประเทศญี่ปุ่นจะอยู่ในช่วงเดือนมิ.ย.-ส.ค. และจุดร้อนพีกๆ จะอยู่ในเดือนก.ค. และส.ค.

ช่วงต้นฤดูวันที่ 26-29 เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา มีโอกาสไปสัมผัสฤดูร้อนของญี่ปุ่น 4 วัน 3 คืน ที่เมืองนาโกย่า และโอซาก้า พบเจอกับสภาพอากาศร้อนเบาๆ ไม่ได้อบอ้าวอุณหภูมิอยู่ที่ 29-32 องศา เพราะมีแต่แดดร่มๆ กับฝนตกโปรยปราย

เริ่มปักหมุดที่นาโกย่า ซึ่งได้ชื่อว่าเมืองสุดทันสมัยในจังหวัดไอจิ แห่งภูมิภาคจูบุ อยู่ทางตอนกลางของญี่ปุ่น และยังเป็นเมืองสำคัญด้านอุตสาหกรรม เป็นต้นกำเนิดของบริษัทสำคัญๆ และโรงงานชื่อดังมากมาย หนึ่งในนั้น คือโตโยต้า

ส่วนแหล่งการท่องเที่ยว นาโกย่าเป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ทั้งธรรมชาติ และวัฒนธรรม แถมของกินก็อร่อย พร้อมยังมีแหล่งช็อปปิ้ง ไม่แพ้เมืองใหญ่ อย่างโตเกียว หรือโอซาก้า

ไหนๆ ก็เป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมแล้ว การท่องเที่ยววัฒนธรรมทางอุตสาหกรรม จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาด โดยทริปของเราเลือก 2 สถานที่คือ พิพิธภัณฑ์รถไฟนาโกย่า และพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีโตโยต้า

ซึ่งทันทีที่เครื่องแลนดิ้งลงสนามบินชูบุเซ็นแทรร์ นาโกย่า ก็มุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์รถไฟนาโกย่า (SCMAGLEV and Railway Park) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์รถไฟที่รวบรวมเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และพัฒนาการของรถไฟญี่ปุ่น เป็นสถานที่บอกเล่า เรื่องราวความก้าวหน้าของเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูง

โดยจัดแสดงขบวนรถไฟต่างๆ เกือบ 40 ขบวน ตั้งแต่ขบวนในอดีตรถจักรไอน้ำ ไปจนถึงนวัตกรรมรถไฟรูปแบบใหม่ที่จะวิ่งด้วยพลังแม่เหล็กไฟฟ้าแทนระบบมอเตอร์ Super Conducting Magnet Linear ที่ทันสมัยที่สุด และเร็วกว่าชินคันเซน ด้วยความเร็ว 581 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณค่าของคนญี่ปุ่น และเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวอย่างเราต้องทึ่งในวิวัฒนาการที่เกิดจากการคิดค้น และนวัตกรรมใหม่ๆ ของคนญี่ปุ่น โดยมีค่าตั๋วเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 1,000 เยน

อีกหนึ่งท่องเที่ยววัฒนธรรมอุตสาหกรรมที่ต้องไปสัมผัสกับความตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะคนรักรถ กับพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีโตโยต้า ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มบริษัทโตโยต้า ภายในจะได้สัมผัสประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมโตโยต้า จุดเริ่มต้นของรถยนต์โตโยต้า กับการผลิตรถรุ่นแรกในปี 2008 ซึ่งได้ใช้เวลา 7 ปีผลิตรถรุ่นแรกออกมา จำนวน 1,404 คัน

แต่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ได้มีแค่รถโตโยต้า แต่ยังรวมรถดัง 140 คันจากทั่วโลก ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของรถยนต์จากยุโรป ก่อนที่จะต่อ ยอดมาสู่พัฒนาการของรถยนต์ในญี่ปุ่น บอกได้เลยว่าสายรักรถยนต์คลาสสิคต้องถูกใจแน่นอน

เพราะภายในพิพิธภัณฑ์เต็มไปด้วยรถคลาสสิคมากมายจากทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้ ยังมีคาเฟ่ขายกาแฟ เครื่องดื่มอื่นๆ และไอศกรีม ไว้ให้บริการอีกด้วย สำหรับผู้สนใจเสียค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 1,000 เยน

มาต่อกันด้วยทริปท่องเที่ยววัฒนธรรมดั้งเดิมกันบ้าง ไปที่วัดโอสุ คันนน (Osu Kannon Temple) เป็นวัดพุทธเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองนาโกย่า บริเวณวัดเป็นลานโล่งๆ ตัววัดเป็นสีแดง ภายในตัวอาคารหลัก มีที่สำหรับสักการะ รวมถึงที่เสี่ยงเซียมซีและจำหน่ายเครื่องราง รวมทั้งเป็นสถานที่เก็บพงศาวดารเก่าแก่ ออกมาด้านนอกมีหอระฆัง และนกพิราบมารอคนให้อาหารจำนวนมาก

และเมื่อเดินเลยหอระฆังไปหน่อย ติดกับบริเวณวัด คือย่านดาวน์ทาวน์ของเมืองที่ เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านขนม ร้านขายของ ร้านเสื้อผ้ามือสอง ขายกระเป๋า ขายรองเท้า และร้านขายของใช้ ไหว้พระเสร็จแล้ว แวะไปละลายทรัพย์ จะได้ฟีลช็อปปิ้งแบบได้บรรยากาศญี่ปุ่น

หรือจะหาขนมอร่อยๆ กิน มีให้เลือกได้ตลอดทาง หรือถ้าอยากถ่ายรูป หามุมสวยๆ ลงโซเชี่ยลก็มีหลายมุม ขอแนะนำร้าน Alice on Wednesday เป็นร้านขายเครื่องประดับของผู้หญิง ที่กำลังเฟมัสในโลกโซเชี่ยล ใครไปต้องถ่ายไว้ เพราะมีลูกเล่นที่ประตูเข้าร้านจะเป็นประตูน้อยๆ ทำให้เวลาจะเข้าไปด้านในก็ต้องมุดเข้าไป เป็นกิมมิกสุดจึ้งของร้าน

หลังจากช็อปปิ้งกันเบาๆ ในบรรยากาศญี่ปุ่นไปแล้ว วันถัดมาไปจริงจังกันที่ซากาเอะ ย่านการค้า แหล่งช็อปปิ้งได้ทุกสิ่งใจกลางเมืองนาโกย่า ที่รวมความทันสมัย เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เต็มสองฝั่งถนน รวมถึงยังมีร้านค้าแบรนด์ชั้นนำมากมาย แน่นอนว่ามีร้านยอดฮิตของนักช็อป อย่าง ร้านขายรองเท้า abc และร้านดองกี้ อยู่ทุกมุมถนน

ส่วนใครไม่เน้นช็อปปิ้งก็มาเดินเล่นถ่ายรูปกันได้ เพราะย่านนี้เป็นที่ตั้งของอาคารรูปทรงแปลกตา อย่าง โอเอซิส 21 (Oasis 21) และหอคอยนาโกย่า ทีวี ทาวเวอร์ (Nagoya TV Tower) รวมทั้ง Sky Boat ชิงช้าสวรรค์ขนาด 52 เมตรไซซ์ยักษ์ที่สามารถขึ้นไปนั่งเล่นชมวิวสูงๆ ได้ด้วย

โบกมือลาเมืองนาโกย่า ไปเช็กอินต่อที่โอซาก้า เมืองใหญ่ที่มีเสน่ห์ล้นเหลือจนกลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ศูนย์รวมความคึกคักของเกาะคันไซ ใช้เวลาเดินทางจากนาโกย่าถึง โอซาก้าเพียง 2 ชั่วโมงกว่าๆ

ไปปักหมุดกันที่สัญลักษณ์แห่งโอซาก้า ไม่เช่นนั้นจะมาไม่ถึง คือแลนด์มาร์ก อันดับ 1 อย่าง ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ และเป็นปราสาทที่มีชื่อเสียง ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมติดอันดับท็อป 3 ของญี่ปุ่น

เพราะความอลังการของตัวปราสาทมีทั้งหมด 8 ชั้น ที่มีสถาปัตยกรรมอันงดงาม และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ซึ่งล้อมรอบไปด้วยกำแพงหิน คูน้ำ ไปจนถึงสวนนิชิโนมารุ (Nishinomaru Garden) ที่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ ทางเดินจากด้านหน้าทางเข้าไปจนถึงตัวปราสาทระยะทางยาว แต่เดินสบายเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติโดยรอบ ตัดกับความเป็นเมืองทันสมัยที่อยู่รายล้อมจากตึกอาคารทันสมัย

แม้จะเป็นช่วงหน้าร้อน และวันที่ไปฝนตกโปรยปราย ก็ยังคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชม พร้อมถ่ายภาพสวยๆ ของปราสาทจำนวนมาก นอกจากนี้ ใกล้ๆ ยังมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โอซาก้า ให้ได้เข้าไปเรียนรู้มรดกทางวัฒนธรรม รวมทั้งร้านจำหน่ายของที่ระลึกไว้เลือกซื้อ

ปิดท้ายทริปด้วยย่านแห่งสีสันของเมืองโอซาก้า โดทงโบริ (Dotonbori) อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่ต้องมาเช็กอิน โดยเฉพาะต้องถ่ายรูปที่ป้ายไฟกูลิโกะ (Glico Running Man sign) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเสมือนเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของโอซาก้า

สำหรับย่านโดทงโบริแห่งนี้เป็นแหล่งรวมร้านอาหาร ร้านค้า และแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนไว้ในที่เดียวกัน ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ เพราะกลางคืนจะเต็มไปด้วยสีสันของบรรดาร้านค้าต่างๆ คึกคักมากๆ ของกินต่างๆ ก็มีให้เลือกเยอะแยะมากมาย ต้องไม่พลาดกับทาโกะยากิ ของกินชื่อดังของย่าน ที่บางร้านต้องเข้าคิวยาวเหยียดเป็นกิโล

จบทริปญี่ปุ่นไปอีกหนึ่งทริปของปีนี้ เมื่อต้นปีไปช่วงฤดูหนาว มาครั้งนี้ได้เผชิญกับหน้าร้อน เป็นสัมผัสที่แตกต่าง แต่ไม่ได้ทำให้ หลงเสน่ห์ของญี่ปุ่นลดน้อยลงเลย

ขอขอบคุณการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ที่พามาเปิดประสบการณ์

กับฤดูร้อนแสนประทับใจที่ญี่ปุ่น

ปัทมา ทองสิน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน