อ่านจากคำแถลงของ 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาล หลังจากก้าวไกลยอมยกให้เพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรี โดยวางแนวทางโหวตวันที่ 27 กรกฎาคมไว้ 3 ทาง
ทั้งขอเสียง สว.เพิ่ม ทั้งดึงเสียง สส.เพิ่ม และแนวทางสาม คือ หนทางอื่นๆ ซึ่งให้สิทธิ์เพื่อไทยตัดสินใจ
อ่านแล้วเห็นได้ว่า ก้าวไกลยอมถอยอย่างไม่มีข้อแม้ พร้อมจะเป็นฝ่ายค้าน
เพราะการดึง สว.มาหนุน ก็จะมีเงื่อนไขต้องไม่มีก้าวไกล การดึงพรรคการเมืองนอกขั้วมาเพิ่ม ก็มีข้อแม้ไม่เอาก้าวไกล สุดท้ายจะไปตกที่แนวทาง 3 คือ หนทางอื่นๆ
นั่นคือการข้ามขั้วแน่นอน รวมทั้งคงไม่มีก้าวไกลอยู่ในรัฐบาลด้วย
เป็นภาระของพรรคเพื่อไทย ต้องอธิบายประชาชน โดยเฉพาะผู้คนที่เลือกก้าวไกลมาเป็นอันดับ 1
ถ้ามองในเชิงอุดมการณ์ประชาธิปไตย กระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลใหม่ คงอื้ออึงอย่างมาก
แต่ถ้ามองในแง่การเมืองปกติทั่วไป เลือกตั้งเสร็จ พรรคอันดับ 1 ตั้งรัฐบาลไม่ได้
ก็เป็นโอกาสของพรรคอันดับ 2 ตั้งแทน โดยรวบรวม เสียงพันธมิตรทางการเมืองในสูตรใหม่
ถ้าประชาชนส่วนใหญ่มองในเชิงอุดมการณ์ประชาธิปไตย จากนี้ไปก็ต้องเตรียมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วง
แต่ถ้าประชาชนมองว่า รีบตั้งรัฐบาลให้เสร็จๆ เถอะ รีบมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปากท้องชาวบ้าน ก็คงเดินหน้า ไปได้ง่ายดาย!
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันโหวตนายกฯ 27 กรกฎาคม
มีประชาชนเฝ้ารอและคาดหวังอยู่มากว่า ควรจะตั้งนายกฯ ได้ลุล่วง ควรจะมีรัฐบาลใหม่ได้เสียที
แต่พร้อมๆ กัน ก็คงจะผิดหวังกันไม่น้อย ที่โฉมหน้ารัฐบาล ไม่เป็นไปตามความตั้งใจ
คงมี 2 กระแส ระหว่างการอยากได้รัฐบาลเร็วๆ มาแก้ปากท้อง กับความผิดหวังต่อสูตรรัฐบาลที่ไม่ใช่แนวประชาธิปไตยเต็มตัว!
คงต้องเฝ้ารอดูว่า ปฏิกิริยาจากประชาชนโดยรวม จะเป็นไปเช่นไร
ขณะเดียวกัน การรวมพรรคสารพัดเข้ามาร่วมเช่นนี้ จะทำงานกันได้ราบรื่นหรือไม่
นั่นคือการเมืองไทยภายใต้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566
เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเองซึ่งจะเป็นผู้นำรัฐบาล คงจะต้องงัดยุทธศาสตร์การฟื้นเศรษฐกิจออกมาเพื่อดูแลปากท้องความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างสุดฝีมือ เพื่อเรียกความนิยมให้ได้
ขณะที่ก้าวไกลนั้น ถ้าต้องเป็นฝ่ายค้าน เชื่อว่าจะต้องทำงานตรวจสอบ แบบตรงไปตรงมา ได้ถูกอกถูกใจประชาชน อย่างยิ่ง
เลือกตั้งครั้งหน้า ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม ยิ่งกว่านี้อีก!
วงค์ ตาวัน