องค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น) ออกแถลงเตือน ‘ภาวะโลกร้อนสิ้นสุดลงแล้ว-Global Warming’ เพราะ ‘ภาวะโลกเดือด-Global Boiling’ มาถึงแล้ว

หลังจากคณะนักวิทยาศาสตร์สากลจากทวีปต่างๆ ทั่วโลกยืนยันตรงกันแล้วว่า เดือนกรกฎาคมของปี 2023 นี้ สถานีตรวจวัดอุณหภูมิในทุกทวีปราว 2 หมื่นสถานี และจากทุ่นตรวจวัดอุณหภูมิในมหาสมุทรต่างๆทั่วโลก ตลอดจนจากดาวเทียมตรวจอากาศที่บันทึกอุณหภูมิผิวโลกตามจุดต่างๆ ยืนยันว่า กรกฎาคมปีนี้ เป็นช่วงฤดูร้อนที่ “ร้อนสุดเป็นประวัติการณ์ของมนุษยชาติ’’ แล้ว นับแต่มนุษย์เคยมีการบันทึกมา

นายแอนโธนิโอ กุยเตอเรส เลขาธิการสหประชาชาติชี้ว่า ทั้งหมดนี้เกิดจากการกระทำของมนุษย์ การพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน เรารอให้ใครอื่นทำการแก้ไขให้เราไม่ได้อีกแล้ว เพราะสิ่งที่บรรดาผู้นำของภาคส่วนต่างๆที่เคยรับปากจะทำนั่นเปลี่ยนนี่ ก็ยังไปได้ไม่ไกลพอ และไม่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเพียงพอ ต่อสภาวะภูมิอากาศของโลก

นักวิทยาศาสตร์ที่ติดตามผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ในสาขาต่างๆ ได้ชี้ไปในทางเดียวกันว่า รังสีความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่ถูกก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ปลดปล่อยออกมา ได้กักเอาความร้อนที่ควรสะท้อนกลับออกไปสู่อวกาศให้คงค้างไว้บนชั้นบรรยากาศโลกมากขึ้นเรื่อยๆ จนสภาพภูมิอากาศของโลกปั่นป่วน (Climate Crisis)

บัดนี้ เราได้เข้าถึงจุดที่จะได้เห็นความเปลี่ยนไปของสรรพสิ่งในระบบนิเวศในระดับที่ประวัติศาสตร์มนุษย์ยังไม่เคยประสบเจอ

มันคืออุณหภูมิของคลื่นความร้อนที่จะทำให้พืชบางระดับ บางสายพันธุ์หยุดเจริญเติบโต หยุดผลิดอกออกผล แปลว่ามันจะแก่ตัวตายไปแบบไม่มีทายาท








Advertisement

มันคือรูปแบบภูมิอากาศที่จะผิดเพี้ยนไปจนกลายเป็นความปกติใหม่ ที่อาจจะมีวันร้ายมากกว่าวันอากาศดี มันคือการมาถึงของภัยธรรมชาติถี่ๆ ในสารพัดบริเวณ

มันคืออุณหภูมิที่จะทำให้แมลงหลายชนิดอพยพ หรือขยายเขตทำมาหากินรุกเข้าไปในดินแดนใหม่ๆ ที่เคยหนาวเย็นจนมันเคยทนไม่ได้ แปลว่าเชื้อจุลินทรีย์หลายอย่าง เชื้อโรคหลายชนิดจะเดินทางได้ไกลขึ้น โรคระบาดเขตร้อนจะลามเข้าไประบาดในเขตที่เคยหนาวเย็นได้ถนัดขึ้น

น้ำแข็งที่เคยคลุมพื้นดินบางเขตจะละลายจนเปิดออก ปล่อยให้เชื้อราหรือเชื้อโรคแปลกๆ ที่เคยหายสาปสูญไปนับหมื่นนับแสนปี ผุดขึ้นมาขยายพันธุ์ได้ใหม่

สัตว์น้ำที่เคยหากินกันอยู่ที่ผิวน้ำในระดับตื้น จำต้องมุดลงน้ำลึกบ่อยขึ้น ทั้งที่จะมีสารอาหารให้มันเลือกกินได้น้อยลง เพราะอุณหภูมิที่ผิวน้ำร้อนเกินกว่าที่มันจะทนอยู่กันได้ หลายพันธุ์จะสาบสูญ

การประมงทั้งน้ำจืด และประมงทะเลทั่วโลกจะประสบปัญหาการหาสัตว์น้ำได้ยากยิ่งขึ้น

ในเมื่อโปรตีนแหล่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์อาศัยมาตลอดกว่าพันปีคือสัตว์น้ำ ผลของมันจึงนำไปสู่ภาวะการขาดสารโปรตีนต่อครอบครัวส่วนใหญ่บนโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การปศุสัตว์จะเดือดร้อนเพราะฝนทิ้งช่วง วันฝนมาก็มามากจนท่วมท้นดินถล่ม วันที่ขาดฝนก็แล้งจนไม่มีน้ำมาทำการเกษตรที่เคยปลูกไว้เป็นอาหารปศุสัตว์

ในขณะที่ปศุสัตว์เองก็เป็นผู้ปล่อยก๊าซที่มีฤทธิ์ร้ายแรงต่อภาวะเรือนกระจกกว่า 20 เท่าของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นคือก๊าซมีเทนจากสัตว์ ปศุสัตว์ที่ขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งคือปัจจัยเร่งการปลูกพืชไร่เชิงเดี่ยว ที่ใช้ทั้งปุ๋ยเคมีและฉีดพ่นสารเคมีป้องกันศัตรูพืชอย่างมากมาย ทำร้ายทั้งผึ้งและผีเสื้อที่มีหน้าที่ผสมเกสรดอกไม้ทั้งโลกให้ผลิดอกออกเป็นผล พืชไร่เลี้ยงสัตว์นี่เองที่เร่งการบุกรุกทำลายทั้งป่าธรรมชาติและแหล่งน้ำสะอาดตามที่ต่างๆ ในทุกทวีป

‘ภาวะโลกเดือด’ จะทำให้โรคระบาดสัตว์ยิ่งอาละวาดได้มากขึ้น ภูมิคุ้มกันทั้งในสัตว์และคนจะลดลงจากภาวะ ฮีตสโตรก หรือภัยจากคลื่นความร้อนที่มีความชื้นสูงจนเหงื่อไม่ระเหยได้มากขึ้น อวัยวะต่างๆ ทำงานไม่ได้เหมือนภาวะปกติ

ในสหรัฐ ทำเนียบขาวออกประกาศมาตรการคุ้มครองแรงงานจากการต้องทนทำงานท่ามกลางคลื่นความร้อน

ความร้อนของมหาสมุทรจะทำให้เกิดการระเหยของน้ำเร็วขึ้น นำไปสู่ฝนพันปีตกในย่านที่มีทิศทางลมพาไปบ่อยขึ้น น้ำจึงท่วมท้นในบางจุด และในจุดที่ลมพัดความชื้นเข้าไปไม่ถึงก็จะแล้งอย่าง หนักหน่วงและยาวนานขึ้น

ไฟในป่าของพื้นที่นั้นจะดับยาก และจุดติดง่ายยิ่งขึ้น เพราะอากาศแห้งจัด ภัยแล้งจะทำให้ชาวโลกเร่งกักสายน้ำสารพัดไว้จนน้ำไม่เคลื่อนที่อย่างเดิมๆ ความขัดแย้งแก่งแย่งน้ำดิบจะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งของมนุษย์ ทั้งข้ามภูมิภาค และข้ามประเทศอย่างง่ายดาย

สงครามจึงปะทุขึ้นได้ง่ายยิ่งกว่าเดิม อุดมการณ์และรูปแบบการปกครองจะถูกใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีกันไปมาโดยไม่จำเป็นและแก้ไขอะไรไม่ได้

ทางออกที่แท้จริงของเราแต่ละคนคือ

1.การค้นหาความรอบรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

2.การฝึกฝนทักษะในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเองทั้งในการบริโภคและการใช้ชีวิต

3.การชักชวนให้ครอบครัวและชุมชนต่างๆ ร่วมเปลี่ยนแปลงในสเกลที่กว้างใหญ่ขึ้น สนใจดูแลกันและกันมากขึ้น ถ้ามนุษย์ในสังคมมีความเข้าใจในระบบนิเวศดีขึ้น ความเห็นต่างจะลดลง เพราะวิทยาศาสตร์จะพาให้เข้าหาความจริง ไม่ใช่ความเห็น

4.รัฐเองก็พึงขจัดการผูกขาดตัดตอน และขยับการเกษตรตลอดจนการอุตสาหกรรมที่ไม่ยั่งยืน ให้ก้าวไปสู่การจัดการที่ยั่งยืน และ มีธรรมาภิบาลที่ดีทั้งในระบบรัฐ ระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ ธุรกิจและระบบคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

5.ประเทศผู้มีรายได้สูง ซึ่งมักมีประวัติในการฉกฉวยทรัพยากรธรรมชาติจากชาติที่อ่อนแอกว่ามาตลอดยุคอุตสาหกรรม คือใน 200 ปีที่ผ่านมา ต้องช่วยแบกรับค่าใช้จ่าย และถ่ายทอดพลังความเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้ชาติที่เปราะบางทั้งหลาย ต่อภาวะโลกเดือดนี้โดยเร่งด่วน

ไม่ว่าจะเป็นรัฐหมู่เกาะเล็กๆ ที่กำลังจะถูกน้ำทะเลยกระดับเข้าท่วม มิด รัฐที่กำลังขาดแคลนพลังเศรษฐกิจในการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืน หรืออย่างน้อยก็มีกองทุนช่วยการเตรียมรับภัยพิบัติทางธรรมชาติให้ได้ประสิทธิภาพขึ้น ไม่ว่าจากน้ำทะเลท่วมเข้าแผ่นดิน น้ำจืดขาด อาหารแพง โรคใหม่ระบาด อากาศหายใจไม่สะดวก หรือภัยจากความร้อนตรงๆ

‘ภาวะโลกเดือด’ เริ่มขึ้นแล้ว

อยู่ที่ว่า เราทุกๆ คนจะเริ่มจริงจังกับเรื่องนี้ ก่อนเจอวิบากกรรมครั้งใหญ่กันได้ทันหรือไม่ เท่านั้นเอง

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน