การประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีวาระพิจารณาต่อยอดนโยบายบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค หรือ 30 บาทพลัส มี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานการประชุม

รวมทั้ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รองประธาน คณะกรรมการฯ ร่วมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข(สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. และกรรมการจากภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วม

สาระสำคัญการประชุม เป็นการอนุมัติการขับเคลื่อน 5 ประเด็นหลักเร่งด่วน เพื่อยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค จากที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ 13 นโยบาย ที่ต้อง ผลักดันให้แล้วเสร็จใน 100 วันหรือ Quick Win

5 นโยบายดังกล่าว ประกอบด้วย บัตรประชาชนใบเดียวรักษา ทุกที่, มะเร็งครบวงจร โดยเฉพาะการฉีดวัคซีน HPV 1 ล้านโดส, สถานชีวาภิบาล, การเพิ่มการเข้าถึงบริการในเขต กทม. 50 เขต 50 โรงพยาบาล และ สุขภาพจิต/ยาเสพติด

พร้อมเห็นชอบให้มีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ” โดยมี น.ส.แพทองธาร เป็นประธาน เพื่อทำหน้าที่ติดตามและกำกับการดำเนินงานให้เป็นไปอย่าง บูรณาการและมีประสิทธิภาพ ทั้ง 5 ประเด็น

โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการ ตั้งแต่ส่งเสริมป้องกัน ตรวจวินิจฉัย ดูแลรักษา นัดหมาย ส่งต่อและเชื่อมโยงจัดการฐานข้อมูล เพื่อมุ่งสู่การยกระดับ 30 บาทรักษาได้ทุกที่ เน้นกระจายการรักษา พัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ป่วยเป็นดิจิทัลทั้งหมด เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการสืบค้นข้อมูลคนไข้และรักษาพยาบาล เพียงยื่นบัตรบัตรประชาชนใบเดียวเข้ารับบริการสุขภาพได้ทุกหน่วยบริการ

เน้นพัฒนาคุณภาพการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนบริการ ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการ ยึดหลักผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง เช่น นัดหมายออนไลน์ ใบรับรองแพทย์อิเล็กทรอนิกส์ ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางได้ทันท่วงที ผ่านระบบ Telemedicine การส่งยาและเวชภัณฑ์ไปยังบ้านผู้ป่วย

นโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ จะเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพหน่วยบริการทุกระดับ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยการพัฒนาระบบแบ่งเป็น 4 ส่วน 1.ระบบบันทึกข้อมูลทั้ง โรงพยาบาลรัฐ ร้านยา เอกชน 2.ระบบยืนยันตัวตน

3.ระบบ MOPH Data Hub เช่น ประวัติสุขภาพ สมุดสุขภาพประชาชน ใบรับรองแพทย์ ที่เป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ และ 4.ระบบเชื่อมต่อประชาชน เช่น Line OA และแอพพลิเคชั่น โดยยึดความปลอดภัยด้านไซเบอร์และข้อมูลส่วนบุคคลสูงสุด

ซึ่งจะนำร่อง 4 จังหวัด คือ แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และ นราธิวาส มีโรงพยาบาลทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษาฯ กระทรวงกลาโหม รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชน คลินิก และร้านยาที่สนใจเข้าร่วมโครงการ

การดำเนินการมี 2 ระยะ ในระยะที่ 1 คือ ม.ค. 2567 จะมีประวัติสุขภาพแสดงบนมือถือ สามารถดึงประวัติตนเองเก็บในสมุดสุขภาพ (Health Wallet) ในมือถือตัวเอง หญิงตั้งครรภ์จะมีสมุดฝากครรภ์สีชมพูบนมือถือ

หากต้องการใบรับรองแพทย์จะมีแบบดิจิทัล เมื่อประสงค์ไปรับยาที่ร้านยาหรือเจาะเลือด จะมีใบสั่งยาหรือแล็บอิเล็กทรอนิกส์ เชื่อมโยงร้านยาและแล็บอัตโนมัติ

มีระบบการแพทย์ทางไกลเชื่อมต่อประวัติสุขภาพผ่านมือถือประชาชน มีระบบนัดหมายออนไลน์แจ้งเตือนการมารับบริการ มีการส่งยาทางไปรษณีย์หรืออื่นๆ สามารถจ่ายเงินผ่านระบบกลางต่อยอดสู่ Big Data และ AI หน่วยบริการรับเงินใน 72 ชั่วโมงหลังจากส่งเบิก เป็นต้น

ส่วนระยะที่ 2 เม.ย. 2567 จะเพิ่มระบบจ่ายเงินทางออนไลน์โดยไม่ต้องรอจ่ายเคาน์เตอร์ สามารถจ่ายผ่านมือถือ หรือตู้คีออส

การส่งตัวไม่ต้องใช้ใบส่งตัวอีกต่อไป ข้อมูลประวัติส่วนตัวและการรักษามีระบบความปลอดภัยขั้นสูง ต้องมี OTP ของผู้ป่วยก่อนแพทย์ส่งข้อมูล เพื่อป้องกันความปลอดภัย ระบบเชื่อมโยงการ เจาะเลือดใกล้บ้าน ดูแลผู้ป่วยที่บ้านระยะสุดท้าย

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะเพิ่มคู่สายสายด่วน 1330 ให้บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ในการสอบถามข้อมูล แจ้งปัญหา หากไปรับบริการไม่ได้ตามที่ตกลง นัดคิว นัดแพทย์ออนไลน์ไม่ได้หรือไม่สะดวก ไม่ทราบร้านยาหรือแล็บที่ไปรับบริการ

โดยเพิ่มอาสาสมัคร เช่น พยาบาลเกษียณ คนพิการให้มาช่วยตอบคำถาม เปิดทุกช่องทางให้ประชาชนติดต่อ สปสช.ได้

ส่วนการอำนวยความสะดวกผู้ให้บริการ จะเปิดคู่สายให้หน่วยบริการหากไม่เข้าใจหรือต้องการตรวจสอบข้อมูลประชาชนในการใช้บัตรประชาชนใบเดียวไปรับบริการ เพื่อให้มั่นใจว่า สปสช. จ่ายเงินแน่นอน โดยปรับกลไกชดเชยค่าบริการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยบริการล่วงหน้า เร่งการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยนอกพื้นที่ใน 3 วัน และกรณีเป็นผู้ป่วยในไม่เกิน 14 วัน

นโยบายมะเร็งครบวงจร จะดูแลมะเร็งสำคัญ 5 ชนิด คือ มะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก

ในกลุ่มคนปกติจะให้ความรู้ส่งเสริมป้องกันไม่ให้เสี่ยงมะเร็ง คนมีภาวะเสี่ยงต้องคัดกรอง คนที่เป็นมะเร็งแล้ววินิจฉัยด้วยเครื่องมือทันสมัย การรักษาครอบคลุมทุกมิติ ทุกพื้นที่ และดูทางใจเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต

การดำเนินการช่วง 100 วัน จะตั้งทีมสู้มะเร็ง Cancer Warrior ในเดือนต.ค.นี้ ทั้งระดับกระทรวง เขตสุขภาพและจังหวัด จากนั้นคิกออฟฉีดวัคซีนเอชพีวีป้องกันมะเร็งปากมดลูก 8 พ.ย.ทั่วประเทศ และคัดกรองพยาธิใบไม้ตับ ภายในพ.ย.2566

นโยบายสถานชีวาภิบาล ดูแลติดป่วยติดเตียง การดูแลประคับประคองจนถึงวาระสุดท้ายชีวิตอย่างคุณภาพมาตรฐาน ลดภาระการเดินทาง การรอคอย ความกังวลของครอบครัว ช่วยให้ลูกหลานไปทำงานได้

มาตรการหลักขับเคลื่อนคือ พัฒนาคนรองรับระบบชีวาภิบาล 5 พันคน สร้างระบบชีวาภิบาลในทุกโรงพยาบาล วางแผนให้ ผู้ป่วยอยู่ที่บ้านและชุมชน ดูแลระบบทางไกล จัดตั้งสถานชีวาภิบาลในชุมชน เช่น วัดคำประมง จ.สกลนคร ดูแลผู้ป่วยประคับประคองมะเร็งระยะสุดท้าย และการพูดคุยเพื่อขยายสิทธิครอบคลุมทุกกองทุนสุขภาพ

เป้าหมาย 100 วัน คือ มีสถานชีวาภิบาลทุกเขตสุขภาพ 12 แห่ง และใน กทม. 7 เขต 7 แห่ง และพัฒนาการดูแลที่บ้าน โดยจะเปิดสถานชีวาภิบาลต้นแบบในเดือน ธ.ค.นี้

นโยบาย กทม. 50 เขต 50 โรงพยาบาล เนื่องจากเขตดอนเมือง สัดส่วนเตียงผู้ป่วยต่อประชากรระบบสุขภาพ คิดเป็น 0.77 เตียง ต่อพันประชากร เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Quick Win จึงยกระดับ โรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) กรมแพทย์ทหารอากาศ เป็น โรงพยาบาลทุติยภูมิ 120 เตียง

ยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุข 60 เป็นโรงพยาบาลผู้ป่วยนอกเฉพาะทาง เตรียมพร้อมโรงพยาบาล 2 เป็นโรงพยาบาลรับส่งต่ออีกแห่ง คาดว่า ธ.ค.2566 จะเปิดบริการได้

นโยบายสุขภาพจิต/ยาเสพติด กิจกรรมหลักคือ ส่งเสริมสุขภาพจิตเชิงรุกในชุมชน เตรียมพร้อมกลุ่มปฐมวัยเป็นวัคซีนใจ สร้างภูมิคุ้มกันเรื่องสุขภาพจิต/ยาเสพติด ที่มีความเสี่ยงในวันถัดไปค้นหากลุ่มเสี่ยงในชุมชน รีบป้องกันและรักษา

มีบริการฉุกเฉินจิตเวช พัฒนาทีมฉุกเฉินจิตเวช เพิ่มหอผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติด บริการจิตเวชทางไกล และฟื้นฟูผู้ป่วยระยะยาวในชุมชน/สังคม

เป้าหมาย 100 วัน จัดตั้งมินิธัญญารักษ์ทุกจังหวัด มีกลุ่มงาน จิตเวชทุกอำเภอ หอผู้ป่วยจิตเวชทุกจังหวัด เปิด Mental Health Anywhere

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน