กลุ่มประชาชนชายขอบสังคม เกษตรกรรายย่อย และกลุ่มคนผู้ใช้แรงงาน รวมกันในนามสมัชชาคนจนกว่า 700 คน ยอมยุติการชุมนุมในกรุงเทพฯ เดินทางกลับภูมิลำเนา
เป็นเวลาเกือบ 1 เดือน ที่สมัชชาคนจนหอบสัมภาระและเสบียงอาหารมาปักหลักข้างกระทรวงศึกษาธิการใกล้ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาความเดือดร้อนที่หมักหมมมายาวนาน
ซึ่งแต่เดิมกลุ่มประชาชนเหล่านี้ไม่ได้เดือดร้อน หรือยากจนข้นแค้น แต่เพราะนโยบายและโครงการพัฒนาของรัฐที่ผิดพลาดต่างหาก ทำให้เกิดผลกระทบต่างๆ ตามมา
อาทิ การประกาศพื้นที่ทับซ้อนของรัฐ การจัดสรรเวนคืนที่ดิน การเยียวยาผลกระทบจากโครงการก่อสร้างเขื่อน เป็นต้น
หลังผลการเจรจากับรัฐบาลเป็นที่พอใจระดับหนึ่ง สมัชชาคนจนออกแถลงการณ์ขอให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดแนวทางในการแก้ปัญหา
นำผลการเจรจาจัดทำเป็นบันทึกข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับสมัชชาคนจน ให้นายกฯ สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหา โดยต้องมีสัดส่วนระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับสมัชชาคนจนเท่ากัน
ขอให้นายกฯ เสนอครม.เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหา กำหนดให้คณะกรรมการจัดประชุมเพื่อวางแนวทางดำเนินงาน และกรอบระยะเวลาให้เป็นไปตามทุกข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับสมัชชาคนจน
สุดท้ายหลังฤดูการเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตร หากปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข สมัชชาคนจนจะเดินทางกลับมาทวงถามคำตอบจากรัฐบาล
ต่อข้อเรียกร้องของสมัชชาคนจนนั้น รัฐบาลมอบหมายให้ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นตัวแทนการเจรจา ซึ่งผลเป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่ง
พร้อมแต่งตั้งนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ เป็นประธานคณะกรรมการกำกับและติดตามการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ซึ่งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ และความคุ้นเคยกับงานองค์กรพัฒนาเอกชน
นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการต่างๆ ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาในแต่ละด้าน ครอบคลุมและอยู่ในความรับผิดชอบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพลังงาน
นับเป็นความก้าวหน้าต่อจากการแก้ปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ที่รัฐบาลรับข้อเรียกร้องนำมาสู่การตั้งคณะกรรมการร่วมกัน หวังว่าทั้งกรณีพีมูฟและสมัชชาคนจนจะได้รับการแก้ปัญหาโดยเร็ว