วันเสาร์ที่ 23 ธ.ค.2566 น้อมรำลึก ครบรอบ 116 ปี ชาตกาล “พระราชญาณกวี” (บุญชวน เขมาภิรัต) อดีต เจ้าคณะจังหวัดชุมพร และอดีตเจ้าอาวาสวัดขันเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร พระเถระที่มีวัตรปฏิบัติดีงาม อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์อย่างสมถะ ยึดมั่นในหลักธรรมตามรอยพระพุทธองค์อย่างมั่นคงทุกประการ

มีนามเดิมว่า บุญชวน อินทรเศรณี เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 23 ธ.ค.2450 ที่บ้านสะท้อน ต.ท่าทองอุแท อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี

สอบไล่ได้ประโยคครูมูล แล้วเข้ารับราชการครูแห่งแรกขณะอายุ 17 ปี ที่โรงเรียนประชาบาลวัดคูขุด ต.บางหมาก อ.เมือง จ.ชุมพร ต่อมาย้ายไปรับตำแหน่งครูใหญ่ในจ.ชุมพร คือ โรงเรียนประชาบาลตำบลปากน้ำ อ.เมือง และโรงเรียนประชาบาลวัดยางค้อ อ.ท่าแซะ ตามลำดับ

พ.ศ.2471 อุปสมบท และจำพรรษาที่วัดแหลมยาง สอบนักธรรมตรีได้ พร้อมกับลาออกจากราชการ แล้วเข้าศึกษากรรมฐานกับ พระอธิการพัน (พระครูพัฒน ศีลาจาร) วัดแหลมยาง

หลังจากนั้นมุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและบาลี จนสอบนักธรรมโทและเอกภายในเวลา 2 ปี ได้เป็นที่ 1 ของมณฑลภูเก็ต พร้อมกับท่องจำพระปาฏิโมกข์ภายในเวลา 1 เดือน ณ วัดอุปนันทาราม ต.เขานิเวศน์ อ.เมือง จ.ระนอง และได้พบกับสามเณรปั่น เสน่ห์เจริญ ต่อมาคือ พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์

ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ คือ พ.ศ.2479 อยู่จำพรรษาร่วมกับพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ณ สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เป็นที่มาของคำว่า “สามสหายธรรม” นับถือเป็นพี่น้องกัน ยอมให้พุทธทาสภิกขุเป็นพี่ใหญ่ บ.ช.เขมาภิรัต เป็นพี่รอง และปัญญานันทภิกขุ เป็นน้องเล็ก ยึดปณิธานแห่งชีวิต ตรงกัน แล้วแยกกันปฏิบัติศาสนกิจ พร้อมกับเผยแผ่พระธรรม ของพระพุทธองค์จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

สามสหายธรรมต่างก็อุทิศกายใจ ภายใต้ร่กาสาวพัสตร์จนตลอดชีวิต และได้ฝากผลงานการประกาศธรรมและค้ำจุนพระพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็งไว้ให้ลูกหลานได้กล่าวขวัญด้วยความชื่นชมโดยเฉพาะพุทธทาสภิกขุและปัญญานันทภิกขุ เป็นที่รู้จักแก่พุทธศาสนิกชนผู้สนใจธรรมะอยู่โดยทั่วไปเป็นอย่างดี เพราะท่านมีผลงานการเผยแผ่ธรรมะมากมายที่ได้ออกไปทางสื่อต่างๆ








Advertisement

แต่สาเหตุที่พระราชญาณกวีเป็นที่รู้จักไม่กว้างขวางเหมือนกับสหายธรรมทั้งสองก็เพราะท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด เป็นพระสงฆ์สายปกครองที่จะต้องดูแลพระสงฆ์ในเขตปกครองในด้านต่างๆ ให้เป็นไปด้วยดี และท่านตั้งใจแน่วแน่ที่จะตั้งสำนักเรียนบาลีอันเป็นการวางรากฐานการศึกษา และการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สำคัญให้กับพระภิกษุสามเณรที่ประสงค์จะเรียนภาษาบาลีให้แตกฉาน

พระราชญาณกวีสร้างคุณูปการแก่วงการคณะสงฆ์ไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศนานัปการ โดยเฉพาะ พ.ศ.2483 เป็นเจ้าอาวาสวัดดอนทรายแก้ว (รูปแรก) พ.ศ.2489 เป็นเผยแผ่อำเภอเมืองชุมพร พ.ศ.2496 เป็นเผยแผ่จังหวัดชุมพร พ.ศ.2496 เป็นเจ้าอาวาสวัดอานันทเมตยาราม ประเทศสิงคโปร์ (รวม 2 ครั้ง) และ พ.ศ.2501 เป็นผู้ปกครองสงฆ์วัดเชตวัน ประเทศมาเลเซีย

พ.ศ.2507 เป็นเจ้าอาวาสวัดขันเงิน ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร

พ.ศ.2508 เป็นเจ้าคณะจังหวัดชุมพร และเป็นพระอุปัชฌาย์ วิสามัญ

พระราชญาณกวี เน้นเรื่องการศึกษาของพระภิกษุสามเณร เอาใจใส่คอยสอบถามอยู่เสมอ ทำให้สำนักเรียนบาลีวัดขันเงิน ที่ท่านเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2508 เจริญก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นมั่นคง และมีนักเรียนสอบบาลีสนามหลวงได้คิดเป็นร้อยละ 60 แทบทุกปี

บางปีสอบได้สูงถึงร้อยละ 83 ดังนั้น จึงได้รับยกย่องให้เป็นสำนักเรียนตัวอย่าง และเป็นสำนักเรียนดีเด่น เพราะผลอันเกิดจากการเอาใจใส่อย่างจริงจังนั่นเอง

วันที่ 15 ม.ค.2531 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกวัดขันเงินเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เป็นรางวัลในบั้นปลายชีวิตการทำงานของท่าน

มรณภาพเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2531 ที่ โรงพยาบาลชุมพร (ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์)

สิริอายุ 80 ปี 5 เดือน 11 วัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน