ต่อสู้ 2 แนวทาง อำนาจรัฐ กับ ประชาชน สุดท้าย อยู่ที่ใคร
ต่อสู้ 2 แนวทาง – ความพยายามของพรรคพลังประชารัฐในการที่จะเบียดแทรกเข้าไปแย่งยึดพื้นที่เลือกตั้งในกทม.เป็นความพยายามที่สามารถเข้าใจได้
เข้าใจได้ว่าทำไมจึงคิดจะปักธง
ไม่เพียงเพราะว่า นายสกลธี ภัททิยกุล จะเคยเป็นส.ส.ของ กทม. หากในปัจจุบันก็ดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้ว่าฯ กทม.
บทบาทของ นายสกลธี ภัททิยกุล ย่อมมีผลต่อพรรคพลังประชารัฐ
ยิ่งกว่านั้น หากผนึกตัวรวมพลังเข้ากับ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ เข้าไปอีก ยิ่งมากด้วยความแข็งแกร่ง
โอกาสในกทม.จึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง
แต่คำถามที่พรรคพลังประชารัฐมิอาจปฏิเสธได้ก็คือ พื้นที่กทม.เป็นพื้นที่ในความยึดครองและแบ่งปันอำนาจระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย
พรรคประชาธิปัตย์มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนเด่นเป็นสง่า
พรรคเพื่อไทยไม่เพียงแต่มี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อยู่ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ หากแต่ยังมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นประธานทีมปราศรัย
กลายเป็น 2 แรงแข็งขันอยู่เบื้องหน้า
การประสบกับกระแสกระหน่ำฟาดจากพรรคเพื่อไทย ก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ยังจะต้องเผชิญกับกระแสกระหน่ำจากพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาอีก
ถามว่าโอกาสของพรรคพลังประชารัฐจะมีได้ละหรือ
หากพิจารณาจากโครงสร้างทางการเมือง การปกครองของคสช.ประสานเข้ากับรัฐบาลและกทม.ก็จะเป็นภาพจำลองของประเทศไทยได้
นี่ย่อมเป็นความได้เปรียบของพรรคพลังประชารัฐ
เพราะว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคของคสช. จึงย่อมได้รับพลานุภาพจากคสช. จากรัฐบาลและโดยเฉพาะจาก กทม.ที่มาบริหารภายใต้อำนาจของมาตรา 44
นี่คือทางสะดวกให้กับพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มเปี่ยม
แต่คำถามก็คือ กลไกอย่างนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่รู้ หรือ กลไกอย่างนี้พรรคเพื่อไทยไม่เคยได้สัมผัสและ รับทราบหรือ
ที่คิดว่าจะสะดวกอาจกลายเป็นไม่สะดวก ราบรื่นก็ได้
กระนั้น พรรคพลังประชารัฐก็ได้เปรียบที่เป็นส่วนหนึ่งภายใน “กลไก” ของอำนาจรัฐ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทยได้เปรียบที่กุม “หัวใจ” ของประชาชน
การปะทะระหว่าง “อำนาจรัฐ” กับ “หัวใจ” ประชาชนจึงแหลมคม
นี่ไม่เพียงแต่ในพื้นที่กทม. เท่านั้น หากแต่ทอดตามองไปในขอบเขตทั่วประเทศ ไม่ว่ากลาง เหนือ ใต้ ตก ออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือล้วนเป็นเช่นนี้
คำถามอยู่ที่คำตอบสุดท้ายว่า “ประชาชน” จะเลือกใคร