เงื่อนปม แตกต่าง ถวายสัตย์ ปฏิญาณตน กับ พระราชกำหนด
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
เงื่อนปม แตกต่าง ถวายสัตย์ ปฏิญาณตน กับ พระราชกำหนด – ปรากฏการณ์แหกมติของส.ส.พรรคอนาคตใหม่ในกรณีร่างพ.ร.บ.งบประมาณที่กำลังอึกทึกครึกโครมอยู่บนเส้นทางสายข่าวขณะนี้เป็นเรื่องที่มิได้อยู่เหนือความคาดคิด
เพราะได้สะท้อนออกมาก่อนหน้านี้แล้วในกรณี “พระราชกำหนด”
ส.ส.คนเดียวกันนี้ไม่เพียงแต่เดินสวนทางมติพรรค ในกรณี “พระราชกำหนด” หากแต่ยังเน้นย้ำซ้ำอีกในกรณี “ร่างพ.ร.บ.งบประมาณ”
เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณ เท่ากับเป็นการบอกเหตุ
และจากกรณี “พระราชกำหนด” ก็เป็นอุบัติการณ์ในทางการเมืองอันควรศึกษาอย่างยิ่ง หากนำเอาไปเทียบกับกรณี “ถวายสัตย์ปฏิญาณตน”
ต้องยอมรับว่า มติและความเห็นภายใน 7 พรรคฝ่ายค้านต่อกรณี “ถวายสัตย์ปฏิญาณตน” กับ กรณี “พระราชกำหนด” มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่อิงอยู่กับหลัก “รัฐธรรมนูญ” เหมือนกัน
เพราะว่ากรณี “ถวายสัตย์ปฏิญาณตน” เริ่มต้นจากรัฐธรรมนูญมาตรา 161 และขยายออกไปยังรัฐธรรมนูญ มาตรา 152
7 พรรคฝ่ายค้านร่วมเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน เข้มข้น
แต่พอแตะเข้าไปยังกรณี “พระราชกำหนด” มติของพรรคอนาคตใหม่ไม่เพียงแต่มีปัญหาภายใน หากแต่ยังแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับมติของ 6 พรรคร่วมฝ่ายค้าน
ไม่ว่ากรณี “ถวายสัตย์ปฏิญาณตน” ไม่ว่ากรณี “พระราชกำหนด” พรรคอนาคตใหม่ยืนอยู่บนหลักการการแบ่งแยกอำนาจระหว่าง “อำนาจบริหาร” กับ “อำนาจนิติบัญญัติ” แน่วแน่
เคยพูดในกรณี “ถวายสัตย์” อย่างไรในเรื่อง “พระราชกำหนด” ก็อย่างนั้น
ในความเป็นจริง การที่พรรคอนาคตใหม่ไม่เห็นชอบกับ “พระราชกำหนด” ก็อิงอยู่กับข้อกฎหมายของรัฐธรรมนูญครบถ้วน
และเสนอแนะว่าน่าจะตราออกมาเป็น “พระราชบัญญัติ”
ข้อดีของพระราชบัญญัติก็คือ ส.ส.สามารถแสดงบทบาทในการร่วมพิจารณาและอภิปรายแสดงความเห็นได้อย่างรอบด้าน ขณะที่เมื่อเป็นพระราชกำหนดแตกต่างออกไป
น่าแปลกที่สังคมไม่ได้มีการนำเอากรณี “ถวายสัตย์ปฏิญาณตน” กับกรณี “พระราชกำหนด” มาเปรียบเทียบและพิจารณาอย่างจริงจัง
ว่าเหตุใด 6 พรรคฝ่ายค้านร่วมจึงเห็นต่าง
เพราะหากนำเอาเหตุผลและความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจบริหารกับอำนาจนิติบัญญัติในลักษณะคานอำนาจระหว่างกันและกันมาพิจารณา
บางทีอาจจะเข้าใจพรรคอนาคตใหม่ อาจจะเข้าใจ 6 พรรคฝ่ายค้านร่วมยิ่งขึ้น