คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
ผลพวง การเมือง สลาย ชุมนุม – มีความเด่นชัดยิ่งว่าการเคลื่อนไหวในวันที่ 17 ตุลาคมมีรากฐานมาจากอะไร
ไม่ต้องเป็นนักการทหารระดับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือระดับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือระดับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็สามารถตอบได้
ว่าเป็นผลจากการประกาศสถานการณ์ “ฉุกเฉิน” ขั้นร้ายแรง
สังคมได้เห็นการเข้าสลายการชุมนุมในตอนรุ่งสางของวันที่ 15 ตุลาคม และที่ส่งผลสะเทือนอย่างสูงก็ จากการสลายการชุมนุมในตอนค่ำของวันที่ 16 ตุลาคม
เป็นการกระทำต่อเด็กๆ และนักศึกษา “มือเปล่า”
สถานการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมเป็นเรื่อง “น่ากลัว”
น่ากลัวไม่เพียงแต่เพราะ 1 ภาพของหน่วยคอม มานโดในเครื่องแบบดำครบถ้วนสมบูรณ์ย่างสามขุมเข้าหากลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งเป็นเยาวชน นักเรียน นิสิตนักศึกษาเป็นส่วนใหญ่
1 เป็นการเข้าสลายการชุมนุมในตอน “กลางคืน”
1 แม้จะยังไม่ได้ใช้กระสุน ไม่ว่ากระสุนปลอม ไม่ว่ากระสุนจริง แต่การสาดน้ำผสมสีและสารเคมีด้วยกำลังและความรุนแรงนั้นน่าสยดสยองอย่างยิ่ง
จากนั้น ก็ตามด้วยการไล่จับเด็กๆ ซึ่งหนีกระเจิดกระเจิงด้วยความกลัว
ถามว่าแล้วรัฐบาลซึ่งเป็นผู้ออกคำสั่งประสบความสำเร็จในการสลายการชุมนุมหรือไม่
คำตอบในเชิงกายภาพมีความเด่นชัด แม้บรรดาเด็กๆ ส่วนหนึ่งจะไม่กลัว พร้อมเดินหน้าเข้า เผชิญ แต่ส่วนใหญ่หวาดกลัวอย่างชนิดหนียะย่าย พ่ายจะแจ
แต่ในทางความคิด ในทางจิตใจกลับตรงกันข้าม
ผลก็คือ ในวันที่ 17 ตุลาคม พวกเขาต่างออกมาร่วมชุมนุมไม่ว่าจะเป็นจุดใดๆ ในกทม. ไม่ว่าจะเป็นในส่วนภูมิภาค ในขอบเขตเกือบทั่วประเทศ
เสียงตะโกน “ออกไป ออกไป” จึงดังกึกก้อง
กลยุทธ์การชุมนุมในลักษณะ “ดาวกระจาย” กลายเป็นนวัตกรรมใหม่ทางการเมือง
หากผนวกตัวรวมปริมาณเฉพาะที่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดผ่านทางโลกโซเชี่ยลก็มิได้เป็นจำนวนหมื่น หากแต่เป็นจำนวนแสน และหลายแสน
เป็นหลายแสนที่โกรธ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา