คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
เอกภาพ ความคิด – แล้วความหวังที่จะ “เสี้ยม” ให้พรรคร่วมฝ่ายค้านแตกแยกก็ปรากฏเค้าแห่งความล้มเหลว
ไม่เพียงแต่จะสัมผัสได้จากคำประกาศอันมาจาก นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปพรรคฝ่ายค้านที่ยืนยันความพร้อมของ 45 ขุนพลที่จะขึ้นอภิปรายทั่วไปเท่านั้น
หากที่สำคัญย่อมเป็นท่าทีที่ “ยืนยัน” ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน
เมื่อคณะกรรมการประสานงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กดดันให้มีการปรับแก้ถ้อยคำใน “ญัตติ”แต่มติของพรรคร่วมฝ่ายค้านคือ ไม่แก้แม้แต่คำเดียว
นั่นแหละคือเอกภาพ คือน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เป็นความจริงที่เคยมีเรื่องร้าวฉานหมองหมางดำรงอยู่ในพรรคร่วมฝ่ายค้าน
นั่นย่อมเป็นผลสะเทือนจากการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเมื่อปี 2563 และส.ส.เก๋าเกมบางคนอภิปรายยาวเหยียดในแบบ “น้ำท่วมทุ่ง”
กระทั่งไม่สามารถอภิปราย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้
กระนั้น เมื่อผ่านปรากฏการณ์เช่นนั้นแม้พรรค ก้าวไกลจะเคยตั้งข้อสังเกต แต่เมื่อมีการปรับประสาน ทุกอย่างก็เข้าใจและหันหน้าเข้าหากันเป็นอย่างดี
จัดแถวเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ด้วยความพร้อม เต็มเปี่ยม
บทบาทในการปรับและประสานนี้ล้วนมาจากพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นด้านหลัก
ไม่ว่าจะมองผ่านบทบาทของ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการ ไม่ว่าจะมองผ่านบทบาทของ นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน
เห็นในความริเริ่ม เห็นในความตั้งใจดี
อย่าได้แปลกใจหากว่าบรรดาขุนพลนักอภิปราย ทั้งหลายจากพรรคก้าวไกลต่างยอมรับบทบาทของพรรคเพื่อไทยยุคใหม่อย่างเต็มเปี่ยมและพร้อมเดินไปด้วยกัน
ควบคุมและตรวจสอบ “รัฐบาล” อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าแผน “เสี้ยม” ไม่ว่าแผนข่มขู่และคุกคามจากพรรคพลังประชารัฐล้วนล้มเหลว
ยิ่งไอ้ห้อยไอ้โหนบางคนพยายามหยิบยกและ ขยายฤทธิ์เดชของมาตรการในการข่มขู่และ คุกคามผ่านประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มากเพียงใด
ยิ่งทำให้สังคมเฝ้ารอรับฟัง “อภิปราย” อย่างใจจดใจจ่อ