คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
มอง “รัฐประหาร” – โจทย์รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 สร้างความแตกต่างเป็นอย่างสูง
ระหว่างบทสรุปของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ บทสรุปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน
เพราะคนหนึ่งเป็น “ผู้กระทำ” อีกคนหนึ่งเป็น “ผู้ถูกกระทำ”
รูปธรรมอันเด่นชัดอย่างยิ่งสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือการได้เป็นนายกรัฐมนตรีและได้เป็นตั้งแต่หลังรัฐประหารเมื่อปี 2557 กระทั่งในเดือนพฤษภาคม 2564
อย่าได้แปลกใจหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะแต่งชุดดำ “ไว้อาลัย”
กระนั้น เมื่อดำเนินการตรวจสอบ “อุณหภูมิ” และความรู้สึกของ “สังคม” ก็น่าสนใจ
น่าสนใจเพราะสัมผัสได้ใน “ความเงียบ” ไม่ว่าจะมาจากภายในทำเนียบรัฐบาล ไม่ว่าจะมาจากภายในพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็น “กองเชียร์”
ไม่ปรากฏเสียงเพลง “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน”
ตรงกันข้ามเสียงอันสะท้อนผ่านโซเชี่ยลมีเดียกลับกึกก้องไปด้วยเสียงด่าว่ากระทั่งนำเอาวลียอดฮิตของ “น้าค่อม” มาต่อท้ายกับประโยค “7 ปีรัฐประหาร”
เป็นการสื่อโดยตรงไปยัง “คสช.” ไปยังคนทำ “รัฐประหาร”
น่าประหลาดเป็นอย่างยิ่งที่บทสรุป น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตรงกับของ “คนรุ่นใหม่”
ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความยาวเหยียด พร้อมกับภาพของตนเองใน “ชุดดำ” เท่ากับเป็นการแสดงความไว้อาลัยให้กับ “รัฐประหาร” อย่างมากด้วยความรู้สึก
ประหนึ่งจะขอให้รัฐประหารเมื่อปี 2557 เป็นครั้งสุดท้าย
ขณะเดียวกันบทสรุปและความรู้สึกนี้กลับไปพ้องกับ “คนรุ่นใหม่” ไม่ว่าจะเป็น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล อย่างมิได้นัดหมาย
ตรงนี้ต่างหากที่มากด้วยความแหลมคมอย่างเป็นพิเศษ
คำขวัญวันเด็กที่รับรู้อย่างกว้างขวางก็คือ เด็กหรือเยาวชนคือ “อนาคต” ของชาติ
ขณะที่กระบวนการ “รัฐประหาร” สะท้อนกระบวนการของทหารรุ่นเก่า กระบวนการของการเมืองเก่า บทสรุปของ “เยาวชน” จึงสะท้อนความรู้สึกของ “คนรุ่นใหม่”