เหตุปัจจัยใดทำให้ “บทลงโทษ” ต่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มิได้สร้าง “ความแปลกใจ”
แม้จะปรากฏความเสียใจจากบรรดา “ชาวส้ม” เมื่อรับรู้และรับฟังคำกล่าวอำลาจาก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในที่ประชุมรัฐสภา
บางคนถึงกับหลั่ง “น้ำตา” บางคนเจ็บช้ำรันทด
แต่คล้อยหลังเพียงไม่กี่วินาทีพวกเขาก็เข้าสู่พื้นที่แห่งการสู้รบในทางการเมืองต่อไป ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็จากไปพร้อมกับภาพ “ชูกำปั้น”
ไม่ว่า “ธนาธร” ไม่ว่า “พิธา” ล้วนไม่ยอมจำนน
การดำรงอยู่อย่างไม่ยอมจำนนต่างหากคือท่าทีจากพรรคอนาคตใหม่ถึงพรรคก้าวไกล
เหมือนกับชะตากรรมที่พรรคอนาคตใหม่ประสบเป็นชะตากรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ เป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะ “เร็ว” ไม่ว่าจะ “ช้า”
เพราะในเมื่อมีคำสั่งอันเป็นมาตรการขีดเส้นให้กับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในเดือนพฤษภาคม 2562 พอถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ก็สำทับด้วยการยุบพรรค
พรรคอนาคตใหม่เป็นเช่นนี้ พรรคก้าวไกลก็จะเป็นเช่นนี้
รู้ทั้งรู้ว่านี่คือ “ชะตากรรม” นี่คือสภาพที่จะต้องประสบ คือสภาพที่จะต้องเกิดขึ้น
มีคำถามจาก “ผู้เฒ่า” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะจากภายใน 250 สว. ไม่ว่าจะจากภายในพรรคการเมืองหลายพรรคอันเป็นผู้มาก่อน
ทำไมพรรคก้าวไกลไม่ปรับตัว ไม่ยอมเรียนรู้
ทำไมพรรคก้าวไกลจึงต้องเดินไปบนทางเดียวกันกับพรรคอนาคตใหม่ ทำไม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จึงเดินไปบนทางเดียวกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
เป็นปัจจัยจาก “คนอื่น” เป็นปัญหาจาก “คนอื่น”
ถามว่าเมื่อยุบพรรคไทยรักไทย เมื่อยุบพรรคพลังประชาชน ผลดำเนินไปอย่างไร
ผลก็คือมีพรรคเพื่อไทย ผลของการยุบพรรคอนาคตใหม่ก็มีพรรคก้าวไกลเกิดขึ้นและประสบความสำเร็จทางการเมืองอย่างเหนือความคาดหมาย
คำตอบเช่นนี้ต่างหากที่เย้ายวนและท้าทาย