สังคมการเมืองไทยยุคคสช.จำเป็นต้องมีนักการเมืองแบบ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แบบ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน หรือแบบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล
เพราะสามารถสร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆให้เกิดขึ้นได้
ก็คนอย่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล มิใช่หรือที่ไม่เพียงแต่จะก่อปรากฏการณ์เกณฑ์คนกว่า 30,000 มาเปล่งเสียง”ลุงตู่สู้ๆ”ให้เกิดขึ้นในสนามช้าง อารีนา บุรีรัมย์
และยังเป็นหัวหน้าพรรคเพียงคนเดียวที่มีชื่อเข้าไปเรียนหลักสูตรวปอ.
ยิ่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยิ่งมากด้วยความคึกคัก
ยิ่ง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน กับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ยิ่งมากด้วยสีสันทางการเมือง
มิใช่เพราะความกล้าหาญของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ หรอกหรือที่นำไปสู่หลายปรากฎการณ์แห่งการเดินสายของ”พลังดูด”
ไม่ว่า นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ที่เลย ไม่ว่า นายจำลอง ครุฑขุนทด ที่นครราชสีมา
Advertisement
แล้วยังจัดงานเลี้ยงสังสรรค์”นักการเมือง”จำนวนนับร้อยคน
และพลันที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศจะจัดคาราวานออกไปเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทยใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ
ก็มีความจำเป็นที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ต้องจัดประชุมสำนักเลขาธิการคสช.แล้วก็นำไปสู่
มาตรการ”ผ่อนคลาย”ในทางการเมือง
แม้ไม่ถึงกับจะมี”การปลดล็อก”ให้พรรคการเมืองเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มพิกัด แต่ก็มี”การผ่อนคลาย”ด้วยความนุ่มนวล
นี่คือ คุณูปการของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ยิ่งโรดแมป”เลือกตั้ง”คืบคลานเข้ามาใกล้มากเพียงใด ทุกสายตาจึงทอดมองไปยัง “คสช.”ด้วยความสนใจ
และก็อยากให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขยับ
และก็อยากให้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รวมถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขยับ
เพราะทั้งหมดอยู่ในสถานะที่คสช.ให้ความเคารพ ให้ความเชื่อถือ
เมื่อท่านเหล่านี้”ขยับ”ล็อกทางการเมืองก็เริ่ม”คลาย”