หมัดเด็ดจากพรรครวมพลังประชาชาติไทยโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก่อนถึงวันที่ 22 มีนาคม คือการเสนอสโลแกนเฉียบขาดมั่นคงว่า
จะเอา”ประเทศไทย” หรือเอา “ระบอบทักษิณ”
เหมือนกับเป็นการต่อยอดมาจากคำประกาศจะจัดการกับวลีที่ว่า “อ้ายตัวร้าย” บนเวทีปราศรัยใหญ่ที่เขตบึงกุ่มของพรรครวมพลังประชาชาติไทย
เหมือนกับจะเป็นนวัตกรรมอันยอดเยี่ยมในทางการเมือง
แต่เอาเข้าจริงๆก็ยังคงเป็นเนื้อหาเหมือนกับที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยประกาศก่อนการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554
และก็ทำให้พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ต่อพรรคเพื่อไทย
จากเดือนกรกฎาคม 2554 มายังเดือนมีนาคม 2562 เป็นเวลา 8 ปี ที่ประเทศไทยผ่านสถานการณ์ทางการเมืองมาอย่างมากมาย
ที่จำหลักอย่างหนักแน่นก็คือ
การออกมาเคลื่อนไหวของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตั้งแต่ปลายปี 2556 กระทั่งนำไปสู่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
และได้รัฐบาลคสช.อันมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
บริหารจากเดือนพฤษภาคม 2557 มาเดือนมีนาคม 2562
บรรยากาศการหาเสียงนับแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา ทาง 1 คือบรรยากาศแห่งการโฆษณาความสำเร็จของคสช. ความสำเร็จของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ทาง 1 คือบรรยากาศแห่งการโฆษกความล้มเหลวของคสช. ความล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นี่คือบทสรุปอันมีลักษณะ”ร่วม”ในทางการเมือง
อันนำไปสู่ทิศทางจะเอา หรือจะไม่เอา”ประยุทธ์”
การที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำเอา “ระบอบทักษิณ”มาวางเรียงเคียงกับประเทศไทย วางเรียง เคียงกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อาจฟังดูคมคาย
แต่ในที่สุดแล้วก็ยังอยู่ในกรอบ เอาหรือไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่นั่นเอง
คำตอบสุดท้ายคือ ผลการเลือกตั้งในวันที่ 22 มีนาคม