หากข้อเสนอที่จะผลักดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเวทีปราศรัยที่ตลาดเซฟวัน จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 10 มีนาคม จะสร้างความคึกคักเป็นอย่างสูง
อาการละล้าละลังและที่สุดตัดสินใจไม่ตอบรับคำเชิญอันมา จากพรรคพลังประชารัฐ
ก็ส่งผลให้เกิดอาการ”ยางแตก”ขึ้นมาโดยกะทันหัน
อาการวูบไหวด้วยความคึกคักจากสีหน้าและดวงตาของ นายอุตตม สาวนายน ตลอดจน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ก็เกิด ความแปรเปลี่ยน
เมื่อแผน 1 ไม่ประสบความสำเร็จก็จำเป็นต้องงัดแผน 2 และ แผน 3 ขึ้นมา
พลันที่ “ยางแตก”ดังปัง รถก็เกิดอาการเป๋ เฉไป
ความจริงพรรคพลังประชารัฐน่าจะสรุปบทเรียนจากกรณีของ 4 ยอดกุมาร ซึ่งเคยเล่นบทคาราคาซังในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าผลออกมาเป็นเช่นใด
คล้ายกับว่าจะชิงความได้เปรียบ แต่ในที่สุดแล้วได้เปรียบจริงแท้แน่นอนหรือไม่
4 ยอดกุมารเป็นเช่นใด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เช่นนั้น
มีความได้เปรียบจริงในระยะสั้น เห็นได้จากการผ่านโครงการใหญ่ๆพร้อมกับเงินงบประมาณเรือนแสนล้านบาทแอบอิงอยู่กับคำว่า “ประชารัฐ”
มีความได้เปรียบจริงกับการเดินสายตรวจราชการไม่ว่าบาง แค ไม่ว่าสวนจตุจักร
แต่พอจะขึ้นเวที”ปราศรัย”กลับเป็นยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก
แม้ความปรารถนาที่จะให้ไปปรากฏตัวในแบบ HAPPENNING เพื่อช่วยผู้สมัครหาเสียงอย่างเป็นการบังเอิญมิได้นัดหมายก็ไม่แน่ว่าจะทำได้
เพราะอย่างน้อยก็ต้องมี “รปภ.” พร้อมสูทขึงขัง รอบตัว
กระนั้น ที่ทั้ง นายอุตตม สาวนายน และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อาจนึกไม่ถึง นั่นก็คือ เสียงครหานินทาทั้งอย่างเงียบๆและเงียบอย่างอึกทึกครึกโครม
เสียงครหานินทาทั้งในที่ “ลับ” และในที่ “แจ้ง”ต่างหากที่กำลังกึกก้องมาจากทุกสารทิศ
กระทั่ง พรรคพลังประชารัฐกลายเป็นตำบลกระสุนตก