ไม่ว่าแกนนำสำคัญของพรรคพลังประชารัฐจะออกมาแสดงความมั่นใจต่อความสามารถในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร แต่ความมั่นใจนั้นก็ยังมีข้อสงสัยตามมา
เพราะเป็นความมั่นใจบนพื้นฐานของการได้ 250 ส.ว.ยกมือให้ อันเป็นไปตามบทสรุปที่ว่า
“รัฐธรรมนูญฉบับนี้ DESIGN มาเพื่อพวกเรา”
แต่เมื่อนำเอา “คณิตศาสตร์การเมือง”ทางด้านสภาผู้แทนราษฎรมาพิจารณา ไม่ว่า นายอุตตม สาวนายน ไม่ว่า นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ก็เริ่มไม่มั่นใจ
ยิ่งนักการเมืองอย่าง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ยิ่งบังเกิดความหวั่นไหว
นั่นเห็นได้จากยุทธการ “งูเห่า”สะท้านโลก
คิดหรือว่าปรากฏการณ์ที่บรรดาผู้สมัครส.ส.จากพรรคเศรษฐกิจใหม่ ยื่นหนังสือต่อกกต.เสนอให้ยุบพรรคเศรษฐกิจใหม่จะมาจากสำนึกทางการเมืองอย่าง 100 เปอร์เซ็นต์
นั่นก็เพราะการส่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจไปเจรจากับ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ไม่ประสบผลสำเร็จ
เป้าหมายพื้นฐานก็คือ ข่มขู่ คุกคามให้หวาดกลัว
แต่เมื่อ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ไม่กลัว ผลก็คือ 6 เสียงของพรรคเศรษฐกิจใหม่กลายเป็นพรรคหมายเลข 7 พันธมิตรต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช.
ความอันเกี่ยวกับพรรคเศรษฐกิจใหม่ยังไม่จางหาย แนวโน้มที่จะเกิดสภาพอย่างเดียวกันจากพรรคประชาธิปัตย์เริ่มชัดขึ้น
หากมองแต่กลุ่มของ นายถาวร เสนเนียม อาจแลดูราบรื่น แต่เมื่อประสบเข้ากับการเคลื่อนไหวของชายเดี่ยวอย่าง นายเทพไท เสนพงศ์ ก็เริ่มกระสากลิ่นแปลกๆ
เพราะทิศทางของรัฐบาลปรองดอง คือ การปฏิเสธ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่ว่าก่อนหรือหลังกกต.รับรองผลการเลือกตั้งในวันที่ 9 พฤษภาคม ปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์จะกลายเป็นอีกปมหนึ่ง ซึ่งสร้างความอับตันให้กับพรรคพลังประชารัฐ
เป็นปมอันเนื่องจากเอกลักษณ์และความเป็น “สถาบัน”
มีความจำเป็นที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องสร้างความแตกต่างไปจากพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา
บทสรุปจึงอาจเป็นปฏิเสธพรรคพลังประชารัฐ