FootNote:กรณีถวายสัตย์ปฏิญาณตน ย้อนกลับ ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พลันที่คนของพรรคพลังประชารัฐอ้างอิงคำแถลงของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 11 กันยายน ต่อการถวายสัตย์ปฏิญาณขึ้นมาเพื่อปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
กรณีคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ มีมติเรียกตัวไปชี้แจงในวันที่ 30 พฤศจิกายน
ทำให้ปัญหาของ”การถวายสัตย์ปฏิญาณ”อัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กระทำความผิดพลาด กล่าวไม่ครบและมีการต่อเติมบางถ้อยคำเข้าไปเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม
ได้หวนกลับมาเป็น”ประเด็น”อีกครั้งหนึ่ง
บทบาทและความหมายอย่างมีนัยสำคัญก็ยังอยู่ในความเข้าใจเดิม นั่นก็คือ ถูกต้องหรือผิดไปจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 161
นี่คือประเด็นอันมีการอภิปรายกันในวันที่ 18 กันยายน
บทสรุปของพรรคพลังประชารัฐที่ยึดเอา”แถลง”จากศาลรัฐธรรมนูญเป็นการยุติ เป็นบทสรุปเดียวกันกับความเข้าใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
แต่ความเป็นจริงที่ทางด้านรัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐไม่ได้พูดก็คือ
บทบาทของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 18 กันยายน
ขณะเดียวกัน ที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ การอภิปรายทั่วไปเมื่อวันที่ 18 กันยายน ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรนั้นเป็นการอภิปรายโดยไม่มีการลงมติ
หน้าที่ของคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบโดยการเรียก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาสอบถาม
ก็เพื่อให้กรณี”ถวายสัตย์ปฏิญาณ”มีบทจบอย่างแท้จริง
ไม่ว่าในที่สุด มติของคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ จะลงเอยอย่างไร
แต่สายตาย่อมทอดจับไปยังบุคคล 2 คน
1 คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 1 คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
คำถามก็คือ 2 คนนี้จะปฏิบัติตนอย่างไร
ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ หรือจะไม่ยอมปฏิบัติตาม
นี่คือความละเอียด นี่คือความอ่อนไหวในทางการเมือง