ก้าวพลาด-ถอยผิด
บทบรรณาธิการ
การจับกุมเยาวชนหญิงที่ร่วมการชุมนุม โดยตำรวจนอกเครื่องแบบราว 10 นาย เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากผู้นำรัฐบาลเพิ่งประกาศเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมถอยคนละก้าว
เป็นเหตุการณ์ที่น่าคลางแคลงใจและไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลอย่างยิ่ง
เพราะก้าวที่นายกรัฐมนตรีแจ้งว่าจะถอยคือการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง สื่อถึงความไม่จำเป็นที่ต้องใช้กำลังควบคุมฝูงชนตั้งแต่แรก
แต่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ประเมินพลาดและยังทำให้สถานการณ์ร้ายแรงไปเอง
เมื่อจังหวะก้าวไปข้างหน้าผิด การหยุดและถอยก็เป็นเรื่องสมควร เพียงแต่ ต้องถอยอย่างมีทักษะ มีสติปัญญา และมีเมตตา
การถอยไปใช้กลไกรัฐสภาที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าเพื่อจะได้ใช้สติและปัญญาแก้ปัญหาร่วมกันนั้น เป็นเรื่องหนึ่งที่ควรตระหนักได้ ตั้งแต่แรก
เมื่อพลาดไปแล้ว ควรหาบทเรียนว่าจะขับเคลื่อนกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เดินหน้าอย่างจริงจังและให้คนในสังคมเห็นความจริงใจได้อย่างไร
เพราะสถานการณ์จากนี้ไปจะเป็นตัวพิสูจน์ว่ารัฐบาลได้ศึกษาเรียนรู้บทเรียนจากการเดินหน้าและถอยหลังที่ผิดพลาดมาแล้วหรือไม่
หลังผ่านเหตุการณ์ใช้กำลังสลายการชุมนุมวันที่ 16 ต.ค. มีความพยายามที่จะปิดเพจสื่อมวลชน มีการจับกุมผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเข้าจับกุมเยาวชนหญิงยามวิกาล
ล้วนแต่ไม่สมเหตุสมผลทั้งสิ้น
ข้อสังเกตแถลงการณ์ถอยของผู้นำรัฐบาล ที่น่าเป็นห่วงคือการแบ่งแยกประชาชน ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา
คำกล่าวอ้างเรื่อง “วงจรม็อบอีกฝ่าย” เป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างยิ่ง เพราะเป็นการตีความเหมารวมโดยไม่พิจารณาเนื้อหาและปัจจัยแวดล้อม จะยิ่งทำให้เกิดการกล่าวหาให้ร้าย และยั่วยุความรุนแรง
แต่ละรัฐบาลในสังคมประชาธิปไตยที่บริหาร ไม่ถูกใจประชาชนย่อมเผชิญการประท้วงเป็นเรื่องปกติ เหมือนรัฐบาลเมื่อปี 2554-2557 เคยประสบและเลือกยุบสภาเป็นทางออก
มีแต่การชุมนุมเรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติรัฐประหารเท่านั้นที่เป็นวงจรอุบาทว์และทำลายประชาธิปไตย
รัฐบาลที่ได้มาจึงเดินหน้าไม่สง่างาม ถอยหลังก็ติดกำแพง