คอลัมน์ ใบตองแห้ง

โควิดต้มกบ – ศูนย์โควิด ทำเนียบรัฐบาล เผยแพร่ผลสำรวจดุสิตโพล 10 ความสุขในยุคโควิด ได้มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา ทำกับข้าวกินเอง ไม่ต้องตื่นเช้า ไม่ต้องเร่งรีบ ได้ออกกำลังกาย ฯลฯ

ไม่รู้เราอยู่ในโลกเดียวกันหรือเปล่า เพราะเพิ่งมีข่าวพ่อค้ากุ้งเผา แม่ค้าอาหารตามสั่ง เครียดขายของไม่ได้ ผูกคอตาย

โควิดทั้งรอบเก่ารอบใหม่เกิดจากความหละหลวมละเลย อภิสิทธิ์ ทุจริต ของหน่วยงานรัฐ ทั้งเวทีมวยทหาร แรงงานผิดกฎหมาย บ่อนพนัน แต่พอจำเป็นต้องควบคุมโรค รัฐก็เข้ามาใช้อำนาจเด็ดขาด ประชาชนต้องเชื่อฟัง หมอพยาบาลทำงานหนัก ใครไม่เชื่อฟังคำสั่ง=ไม่รับผิดชอบสังคม ทั้งที่มาตรการบางอย่างไร้เหตุผล เกินกว่าเหตุ ผลักให้ประชาชนเป็นคนผิด โทษกันเอง รัฐราชการทหารตำรวจเป็นพระเอก จับคนฝ่าเคอร์ฟิวได้เป็นหมื่นแต่จับโควิดไม่ได้สักตัว

ครั้นเอาเงินภาษีมาเยียวยา ก็ต้องปลาบปลื้มน้ำตาไหล รัฐมีพระคุณยิ่งใหญ่ แจกเงิน 7,000 ปล่อยเป็นขยัก เดี๋ยวจ่าย 31 ล้านคน เดี๋ยวจ่ายประกันสังคม ให้สื่อพาดหัว เฮ! เป็นครั้งๆ ใครอยากได้ต้อง “แบมือขอ” ด้วยการลงทะเบียน ไม่ใช่สิทธิพึงมีพึงได้ กลายเป็นขอความอนุเคราะห์จากรัฐเจ้านาย ซึ่งพิจารณาให้เป็นรายๆ เป็นครั้งๆ

คนละครึ่งก็ทำเป็นหวยกด ลุ้นชิงโชคครั้งละล้านสองล้าน ให้ถ้วนหน้ามันไม่สนุก ให้แย่งกันมันมีค่า สร้างพันธะพึ่งพาเป็นรอบๆ เป็นครั้งคราว แม้แต่การผ่อนคลายมาตรการ ก็ใช้ Stockholm Syndrome ได้แค่นี้ก็บุญเหลือหลาย มีพระคุณที่ให้โผล่จมูกหายใจ เช่น กทม.ให้เปิดร้านได้ถึงหนึ่งทุ่ม ตู่ใจดีให้สามทุ่ม ครั้งนี้ให้ห้าทุ่ม ถามว่านั่งกินตีหนึ่งแล้วโควิดจะงับหัวหรือไง (วะ)

คนไทยจำนวนมากยอมจำนน คล้อยตามอำนาจโดยไม่มีเหตุผล สื่อ ดารา ดีเจ อยากเป็นคนดี เรียกร้องสั่งสอนคนอื่นให้รับผิดชอบสังคม ที่ไหนได้ ตัวเองกลับไปจัดงานปาร์ตี้ อยากเป็น Superstar หวิดกลายเป็น Super Spreader ชาวบ้านด่าขรม โฆษก ศบค.กลับชื่นชมเปิดเผยไทม์ไลน์ ดาราด้วยกันก็ปกป้อง

คนติดโควิดไม่ผิดนะ ถ้าติดเพราะต้องเดินทาง ต้องทำมาหากิน ซื้อสิ่งของจำเป็น ใครติดโควิดแบบนั้นไม่ต้องขอโทษสังคม แต่พวกที่ด่าคนอื่นไม่ระวังตัว โหนรัฐ ทำเป็นเด็กดี แล้วกลับเป็นเสียเองหรือปกป้องเพื่อน นี่มัน “สลิ่ม” ชัดๆ

สถานการณ์ยุคโควิดสะท้อนภาพประเทศไทยใต้อำนาจ แต่เร่งรัดขึ้น ด้วยความพังพินาศทางเศรษฐกิจและประสิทธิภาพการบริหาร เหลือแต่ขายฝันว่าปลายปี 64 ทุกอย่างจะฟื้นกลับมา

อำนาจไม่ชอบธรรมนำประเทศถอยหลังสวนโลกไปนับร้อยปี ความอยุติธรรมเห็นตำตา แต่อ้างว่าเป็นกฎหมาย จนกฎหมายเสื่อมหมดสิ้น ศีลธรรมที่เคยใช้อ้างค้ำจุนรัฐพันลึก วันนี้ก็ตกต่ำ เห็นตำตา แต่มีเพียงคนรุ่นใหม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์

ความใหญ่โตของอำนาจ ทำให้คนไม่กล้าสู้ รัฐราชการทหารตำรวจกระบวนการยุติธรรม พรึ่บพรั่บตามใบสั่ง โดยไม่แยแสความถูกต้องเป็นธรรม มุ่งเล่นงานคนต่อต้าน อาศัยพลังราชการและพลังอนุรักษนิยมสุดโต่งใกล้ฝั่ง มาตั้งแถวสนับสนุน

ขณะที่คนส่วนใหญ่ยอมจำนน เอาตัวรอดไปวันๆ แทงหวยจองหุ้น ความยุติธรรมถูกแทนที่ด้วยดราม่า บดขยี้ ลุงพล ครูปรีชา ตำรวจทนายไปจนหมอผี เกาะกินดราม่า กลายเป็น Disrupt อีกแบบที่เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น

ความอ่อนแอของสังคมไทย ทำให้รัฐประหารครองอำนาจได้ห้าปี ตั้ง 250 ส.ว.โหวตตัวเอง สืบทอดอำนาจผสมพันธุ์นักการเมืองที่เคยด่าทอสามานย์ อย่างด้านๆ ก็ไม่ต้องแยแส สังคมก็ต่างคนต่างไป ต่างเอาตัวรอด นักธุรกิจก็วิ่งหาอำนาจ ข้าราชการถ้าไม่สอพลอก็รักษาเนื้อรักษาตัวรอเกษียณ

สภาพอย่างนี้ที่นักวิชาการเรียกว่า “ต้มกบ” น้ำไม่เดือดไม่รู้สึก เพียงแต่ตอนนี้ กบรุ่นใหม่กระโดดชนฝาก่อน แต่ก็เป็นแค่ขั้นน้ำเริ่มร้อน พวกหนังหนาไม่รู้สึก

โควิดเป็นตัวเร่งอุณหภูมิ ทั้งวิบัติเศรษฐกิจ ทั้งความไม่พอใจรัฐราชการ คนที่เชื่อว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะดีขึ้น มีแต่รัฐบาลกับนักวิเคราะห์หุ้น เศรษฐกิจโลกก็น่าจะยังไม่ฟื้น อย่าเพิ่งพูดถึงเศรษฐกิจไทย ซึ่งเปิดใหม่จะยิ่งตามเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามไม่ทัน

ทางการเมือง ดูเหมือนจะเร่งปราบแกนนำม็อบ มีข่าวสะพัดให้จบในเดือนมีนาคม “หมดความอดทน” เบื่อยืดเยื้อ แต่ถามว่าทำอย่างไร เอาเข้าคุกสักร้อยคน? แล้วจบจริงไหม คิดว่าอีกแสนคนไม่กล้า หรือจับอีกหมื่น? หรือนองเลือด? หรือรัฐประหาร?

ไม่ว่าเดินไปอย่างไร โควิดจะเร่งให้น้ำในหม้อต้มเดือดเร็วขึ้น แล้วตอนเดือดอาจไม่เหลืออะไร

วิกฤตเศรษฐกิจอาจไม่พังทันทีแบบ 40 แต่ตายแล้ว ฟื้นยาก วิกฤตการเมืองก็เป็น Disrupt ที่อาจลงไปกองกับพื้นกันหมด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน