คัดแยกผู้ต้องขัง – สิ่งที่รัฐบาลควรต้องพิจารณาอย่างจริงจังช่วงเวลานี้คือ การบริหารจัดการต่อผู้ถูกคุมขังคดีทางการเมือง หรือคดีทางความคิดที่ควรต้องแยกจากนักโทษคดีอาญาอื่นๆ
โดยเฉพาะเมื่อเกิดคำถามจากการคุมขังแกนนำ ผู้ชุมนุมที่ตกเป็นผู้ต้องหาจากการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่ผ่านมา
มีบางคนถูกนำตัวไปคุมขังแดน 5 ซึ่งเป็นแดนของนักโทษเด็ดขาด และมีข้อร้องเรียนว่า แกนนำ บางคนถูกเชิญไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 หลังเวลาเที่ยงคืน
การรับรู้โดยพื้นฐานของประชาชนไปจน ถึงรัฐบาลนานาประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ผู้ต้องขังคดีทางการเมืองไม่ได้ก่อเหตุทำร้าย ปล้นฆ่า ข่มขืนผู้ใด
ยิ่งเมื่อใช้แนวทางสันติในการนำเสนอความคิด และเรียกร้องการปรับปรุงระบบการเมืองเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย และเคารพสิทธิมนุษยชนมากขึ้น จึงยิ่งไม่ควรปะปนกับผู้ก่อคดีที่ละเมิดชีวิต ผู้อื่น
แม้การปฏิบัติต่อนักโทษของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เป็นไปตามปกติ และมีคำชี้แจงทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์น่าสงสัย
อีกทั้งยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ยึดตามกฎระเบียบ และพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 อย่างเคร่งครัด ไม่สามารถกระทำการใดๆ โดยพลการได้
ในที่นี้รวมถึงไม่อาจทำร้ายร่างกายผู้อื่น เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดทางอาญา
การปฏิบัติต่อนักโทษในช่วงโรคระบาดโควิดต้องทำตามมาตรการตรวจคัดกรองเชื้อ แยกกักตัว ผู้ต้องขังเข้าใหม่ และรับย้ายทุกรายออกจาก ผู้ต้องขังอื่น
แต่การคัดแยกนักโทษทางความคิดจากนักโทษที่ก่อคดีอาชญากรรมทางกายเป็นเรื่องที่ควรทำให้ชัดเจน เพื่อประโยชน์ ต่อโดยรวมของประเทศ
ลําพังประมวลกฎหมายบางมาตราที่ทำให้นานาประเทศวิตกกังวล และบ้างแนะนำให้ยกเลิก เนื่องจากไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใด
อีกทั้งสุ่มเสี่ยงเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนในสังคมขัดแย้งและแตกแยก อีกทั้งทำให้เกิดความหวาดกลัวเกินกว่ากฎหมายหมิ่นประมาทที่มีอยู่
การใช้ความกลัวบั่นทอนและปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นจึงขัดแย้งกับสิทธิมนุษยชน และอาจทำให้การคุมขังมีผลต่อด้านมนุษยธรรม