FootNote สัญญาณ จาก ผู้แทนปวงชน เบื้องหน้า คำสั่ง หัวหน้าคสช.
มติจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร 419 จากจำนวนทั้งสิ้น 421 เห็นชอบกับร่างพ.ร.บ.เรื่องคณะกรรมการที่ปรึกษาบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ กอ.รมน.
คือสัญญาณอันแหลมคมยิ่งไม่เพียงแต่ต่อคำสั่งหัวหน้าคสช. หากแต่ที่สำคัญยังเป็นการเตือนไปยังกอ.รมน.โดยตรง
ก่อนอื่นต้องดูว่ารากฐานแห่ง 419 เสียงสัมพันธ์กับร่างพ.ร.บ.ในทิศทางเดียวกัน 3 ร่าง ร่างหนึ่งจากการเสนอของพรรคประชาธิปัตย์ ร่างหนึ่งจากการเสนอของพรรคเพื่อไทย ร่างหนึ่งจากการเสนอของพรรคก้าวไกล
หากประเมินจาก 151 ของพรรคก้าวไกล ผนวกกับ 141 ของพรรคเพื่อไทย ผนวกกับ 25 ของพรรคประชาธิปัตย์ จำนวนอยู่ที่ 317 เสียง
เท่ากับจำนวน 102 เสียงมาจากพรรคภูมิใจไทย พรรครวม ไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย เป็นต้น
จำนวน 419 เสียงอาจมีเพียง 1 งดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนน เสียงจากจำนวนผู้ลงมติ 421 เท่ากับเป็นเอกฉันท์
นี่เป็นสัญญาณ “ประชาธิปไตย” อันทรง “ความหมาย” ยิ่ง
Advertisement
ถามว่าผลจากคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 14/2559 โดยฉับพลันทันใดคือการตัดโครงสร้างเดิมของคณะกรรมการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไปแล้วมอบอำนาจแต่งตั้งให้กอ.รมน.
โดยที่โครงสร้างก่อนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 14/2559 ของคณะกรรมการบริหารมีพื้นฐานมา จากการเลือกตั้งจาก “ชุมชน”
ขณะที่โครงสร้างอันมาพร้อมกับคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 14/2559 คือการมอบอำนาจในการบริหารจัดการให้อยู่ในมือของ กอ.รมน. นั่นก็คือในมือของทหาร
นั่นก็คือ เอา “รวมศูนย์อำนาจ” มาแทน “กระจายอำนาจ” เอา “เผด็จการ” มาแทน “ประชาธิปไตย” มอบความไว้วางใจให้อยู่ในมือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)
คะแนนเสียง 419 จาก 421 อย่างเป็นเอกฉันท์ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงเท่ากับเป็นการปฏิเสธบทบาทและการดำรงอยู่ของอำนาจ “รัฐประหาร” โดยตรง
บทบาทและความหมายแห่งการลงมติในอีกด้านจึงเป็นการยืนยันให้ “การกระจายอำนาจ” อยู่เหนือ “อำนาจรวมศูนย์”
เป็นมติ “ร่วม” อันมาจากผู้ดำรงสถานะเป็น “ผู้แทนปวงชน”
โดยพื้นฐานเป็นการวิพากษ์ต่อมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญหลังรัฐประหาร ความต่อเนื่องคือเป็นการปฏิเสธรูปธรรมแห่งการบริหารในแบบ “การทหารนำการเมือง”
เจตนประสงค์คือ ต้องการให้การเมืองนำการทหาร ต้องการให้พลเรือนเป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างสันติภาพมิใช่ทหาร