นับตั้งแต่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้บริหารและผู้นำประเทศควบคู่กับลงพื้นที่สัมผัสกับประชาชน
มีการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ครั้งแรกที่จังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อติดตามการแก้ปัญหายาเสพติด การเกษตรแผนใหม่และวางยุทธศาสตร์แก้ปัญหากลุ่มจังหวัดอีสานตอนเหนือ
ครั้งที่สอง คณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดระนอง ส่งเสริมและผลักดันการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดอันดามัน ที่สำคัญสร้างความเข้าใจในโครงการแลนด์บริดจ์ เชื่อมเศรษฐกิจสองฝั่งทะเล
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่จริง สัมผัสกับความเป็นอยู่และความต้องการของประชาชน และนำข้อมูลมาบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อความอยู่ดีกินดีต่อไป
ก่อนหน้านั้น เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลอำนาจพิเศษ การสัมผัสและรับรู้ถึงปัญหาประชาชนมีอยู่อย่างจำกัด มักผ่านหน่วยราชการและกลไกราชการที่มีกรอบและระบบคิดแบบเดิม
การลงพื้นที่จึงเต็มไปด้วยกองกำลังอารักขารักษาความปลอดภัย ทำให้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการเข้าถึง การสะท้อนปัญหาจึงติดขัด ทำไม่ได้อย่างเต็มที่
การพบปะกับประชาชนขาดความเป็นธรรมชาติ เนื่องจากจัดระเบียบ และคัดกรองอย่างเข้มงวด แต่เพื่อให้ดูไม่ห่างเหินเกินไป ก็ต้องสร้างมวลชนขึ้นมา ห้อมล้อม ชูป้ายสนับสนุน
ปรากฏการณ์ลักษณะนี้มักเกิดขึ้นในรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ต่างจากผู้นำและรัฐบาลจากประชาชน ซึ่งเกิดจากความนิยมชมชอบ เชื่อมั่น และศรัทธา
ล่าสุด นายเศรษฐาลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส พักค้างคืนในรอบ 10 ปี ที่ผู้นำประเทศลงไปสัมผัสพื้นที่เหตุการณ์ความรุนแรง
ทำให้เห็นโอกาสและศักยภาพในการพัฒนาต่อยอดโครงการต่างๆ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมถึงความสงบ ความปลอดภัย และสร้างพื้นที่สันติภาพ
ขณะที่การลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดและกาฬสินธุ์นั้น ก็ติดตามการบริหารจัดการน้ำ การเพิ่มแหล่งน้ำกินน้ำใช้ในฤดูแล้ง การแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในหน้าฝน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดลงพื้นที่ชุมชน พบปะรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะต่างๆ ของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครด้วย เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับแก้ปัญหาให้ถูกจุด ตรงกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ ดังนั้น การลงพื้นที่จึงมีความสำคัญ