พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เปิดเผยว่าขณะนี้เรือนจำกลางบางขวาง จ.นนทบุรี ย้ายผู้ต้องขังคดีความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 34 คน ไปคุมขังที่เรือนจำกลางจังหวัดสงขลา
จากนั้นเรือนจำกลางจังหวัดสงขลาย้ายผู้ต้องขังต่อไปยังเรือนจำในภูมิลำเนาของผู้ต้องขัง โดยย้ายไปเรือนจำจังหวัดปัตตานี 4 คน เรือนจำกลางจังหวัดยะลา 3 คน เรือนจำกลางจังหวัดนราธิวาส 7 คน คงเหลืออยู่ที่เรือนจำกลางจังหวัดสงขลา 20 คน
รมว.ยุติธรรมระบุว่าการย้ายผู้ต้องหาคดีความมั่นคงชายแดนภาคใต้ 34 คน กลับภูมิลำเนาครั้งนี้ ถือเป็นการมอบของขวัญให้ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
โดยเฉพาะช่วงนี้อยู่ในเดือนรอมฎอน เดือนแห่งการถือศีลอดของชาวมุสลิม
ขณะเดียวกัน ตัวแทนกลุ่มผู้ประสานงานครอบครัวผู้ต้องหาคดีความมั่นคงชายแดนภาคใต้ กล่าวขอบคุณที่กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม มีนโยบายและให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้
ถือเป็นการส่งเสริมและเป็นกำลังใจให้ครอบครัวและผู้ต้องขัง โดยเฉพาะครอบครัวจะได้ไปเยี่ยมผู้ต้องขังสะดวกและง่ายขึ้น จากเดิมใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง เสียค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายระหว่างทาง
นอกจากการเดินทางมาเยี่ยมได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังเป็นการแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังด้วย เนื่องจากเรือนจำในพื้นที่มีความเป็นอยู่สอดคล้องกับหลักศาสนา และการปฏิบัติศาสนกิจมากกว่า
การย้ายเรือนจำจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีต่อครอบครัวและผู้ต้องขัง
ช่วงนี้อยู่ในเดือนแห่งการถือศีลอดของชาวมุสลิม เป็นเดือนแห่งสันติสุขและสันติภาพ โดยเฉพาะประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้คาดหวังจะเป็นเดือนสงบสุขเอื้อต่อการปฏิบัติศาสนกิจ
ขณะที่รัฐบาลเองก็มีความมุ่งหวัง และมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ เพื่อให้เกิดสันติภาพในระยะยาวและถาวรต่อไป ด้วยการขับเคลื่อนเวทีพูดคุยอย่างจริงจังกับฝ่ายผู้เห็นต่าง จนมีข้อตกลงเบื้องต้นระหว่างกัน
รวมถึงการอำนวยความยุติธรรมต่างๆ ด้วย ดังเช่นกรณีย้ายผู้ต้องขังกลับภูมิลำเนาชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะสร้างบรรยากาศที่ดี ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ ลดความหวาดระแวง เสริมสร้างสัมพันธ์ และความเข้าใจต่อกัน
รัฐบาลต้องมีมุมมองที่เปิดกว้างชาญฉลาด ดังเช่นนโยบายและมาตรการนี้ ซึ่งจะนำไปสู่สันติภาพในระยะยาวและถาวร