กรณีเพลิงไหม้โกดังเก็บสารเคมี หรือกากอุตสาหกรรมของบริษัทเอกชนที่ จ.ระยอง เจ้าหน้าที่จากหลายฝ่ายระดมกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว
แต่ผลพวงจากเหตุไฟไหม้ดังกล่าวสร้างความกังวลและตื่นตระหนกให้แก่ชุมชน และประชาชนบริเวณโดยรอบพื้นที่โรงงาน โดยเฉพาะสารพิษต่างๆ ที่เกิดจากการเผาไหม้รุนแรง
ผู้นำชุมชนในพื้นที่ระบุว่า ชาวบ้านยังคงได้รับกลิ่นเหม็นสารเคมี จึงกังวลว่าจะเป็นอันตรายขนาดไหน ทั้งการปนเปื้อนในอากาศและน้ำ พร้อมทั้งตั้งคำถามถึงการบำบัด เยียวยา และการขนย้ายสารเคมี กากอุตสาหกรรมออกจากพื้นที่
นอกจากการควบคุมเพลิงแล้ว จะต้องดูแลเรื่องผลกระทบด้านสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ด้วย
จากเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ สส.ในพื้นที่ และกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร ร่วมกันตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความจงใจวางเพลิงหรือไม่ เพื่อต้องการทำลายหลักฐาน เนื่องจากโรงงานอยู่ระหว่างถูกฟ้องร้องให้เคลื่อนย้ายสารเคมีออกจากพื้นที่
รวมถึงยังเป็นการเผาเพื่อต้องการกำจัดกากอุตสาหกรรม เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเงิน หรืองบประมาณจำนวนมากในการขนย้าย จัดเก็บ และกำจัดอย่างถูกวิธี
โดยหวั่นเกรงว่าจะมีการเลียนแบบเกิดขึ้นด้วย เนื่องจากก่อนหน้านี้มีกรณีคล้ายกันที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จ.ราชบุรี จนกระทั่งมาเกิดที่ จ.ระยอง
ดังนั้น ถ้ากระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผู้กำกับควบคุมโรงงานโดยตรงไม่มีมาตรการป้องกันเข้มข้น ก็จะเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีก
ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมก็ยอมรับว่าเหตุไฟไหม้มีพิรุธ แต่จะต้องรอผลตรวจพิสูจน์ทางคดีจากตำรวจ รวมถึงเร่งจัดการสารเคมีตกค้าง ลดผลกระทบในพื้นที่ และกำจัดกากอุตสาหกรรมอย่างถูกต้องต่อไป
จากเหตุลักลอบขนกากแคดเมียม กระจายไปยัง จ.สมุทรสาคร จ.ชลบุรี และกรุงเทพฯ ต่อเนื่องมาสู่เหตุไฟไหม้โกดังสารเคมี ที่มีข้อพิรุธจงใจเผาทำลายกากอุตสาหกรรมหรือไม่
สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการกำกับควบคุม การขนย้าย และการกำจัดกากของเสียอุตสาหกรรมที่ยังไม่เข้มข้นได้มาตรฐานเพียงพอ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ตั้ง หรือรายรอบโรงงาน
ถึงเวลาแล้วที่กระทรวงอุตสาหกรรมต้องจัดการใหม่เกี่ยวกับการจัดเก็บ การกำจัดกากอุตสาหกรรม และสารเคมีต่างๆ ทั้งระบบทั่วประเทศ