ห้ามเรียก‘จำนำยุ้ง’ ‘บิ๊กตู่’ ชี้แค่มาตรการชะลอขายข้าว เผยเซ็นเด้งไม่รู้นามสกุล ‘ชินวัตร’ หย่าศึก‘มีชัย-สมชัย’ ให้ถ้อยทีถ้อยอาศัย ‘ปู’วอนอย่าหว่านแหจับ ขรก.จ่ายชดเชยจำนำข้าว ขอให้เป็นธรรมกับทุกคน หมวดเจี๊ยบจัดหนักบิ๊กตู่ ศรีสุวรรณโวยถูกคุกคาม เหตุตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ป.ป.ช.ยันไม่รื้อคดี‘บิ๊กติ๊ก’

บิ๊กตู่ลุยตรวจบริหารน้ำ

เมื่อวันที่ 18 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พร้อมด้วยพล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายรอยล จิตรดอน ผอ.สถาบันสารนิเทศน้ำและการเกษตร (สสนก.) กระทรวงวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิผู้ว่าฯ กทม. และนายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน ลงพื้นที่คลองระพีพัฒน์แยกตก บริเวณประตูน้ำที่ 8 อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี เพื่อตรวจเยี่ยมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และติดตามการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่การเกษตร พร้อมพบปะประชาชนและรับฟังปัญหา โดยมีนายสุรชัย ขันอาสา ผู้ว่าฯ ปทุมธานี ให้การต้อนรับ

โดยพล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับประชาชนที่มารอต้อนรับว่า วันนี้คนไทยกว่า 70 ล้านคน ลำบากกว่าเราเยอะ จะทำอย่างไรให้ทุกอย่างไปด้วยกันได้ ก็ต้องฟังที่ตนพูด ต้องดูสิ่งที่รัฐบาลทำ ถ้าประชาชนมีปัญหาก็ส่งขึ้นมา ทุกอย่างที่ทำวันนี้ ข้าราชการทำไม่ได้ทั้งหมด ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชน อย่ามองเพียงหมู่บ้านตัวเอง เพราะประเทศไทยมีกว่า 8 หมื่นหมู่บ้าน ที่อาจลำบากกว่า มีปัญหาแตกต่างกัน ปริมาณน้ำและปลูกพืชต่างกัน บางพื้นที่ต้องยอมเสียสละเป็นพื้นที่รับน้ำ เพื่อรักษาส่วนใหญ่จึงต้องสร้างความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ และวันหน้าไม่แน่ว่าใครจะเป็นนายกฯ ซึ่งตนไม่ได้มองเพียงในประเทศ แต่ต้องมองภาพต่างประเทศด้วย เพราะไม่ได้อยู่คนเดียว ต้องคุยกันทุกเรื่อง ทั้งเรื่องราคาข้าว หรือเรื่องน้ำ แต่ที่สำคัญต้องลดต้นทุนให้ได้

แจงปี’54ท่วมเพราะเขื่อนกักน้ำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนี้มีชาวบ้านตะโกนถามว่า น้ำจะมาแบบปี 2554 หรือไม่ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศซึ่งเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก แต่หากการบริหารจัดการแบบเดิมที่เก็บกักน้ำในเขื่อนมากเกินไป จึงต้องเร่งระบายน้ำประกอบกับฝนตก ทำให้เกิดน้ำท่วมในปี 2554

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ตนไม่โทษใคร แต่ทุกคนต้องคิดร่วมกันและหาทางออกให้ได้ อย่าเอาความขัดแย้งทั้งหมดขึ้นมา ไม่อย่างนั้นจะทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าวันนี้ทำอย่างที่ตนพูด เชื่อว่าจะดีขึ้น ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ขอเพียงอย่าตีกันเท่านั้น ก็มีความสุขแล้ว ประชาธิปไตยที่ผ่านมายังไม่มีระบบเกิดขึ้น แต่เราก็ต้องเป็นประชาธิปไตย ตนเข้ามาทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเท่านั้น ขึ้นอยู่กับทุกคนว่าจะเอาอย่างที่ตนพูดหรือเอาอย่างเดิม

สอนเด็กอนุบาลพูดให้เพราะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ได้เดินข้ามสะพานตรวจดูระดับน้ำในคลอง ระพีพัฒน์ ก่อนเดินไปทักทายเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล จากโรงเรียนลำพระยา ที่มารอต้อนรับประมาณ 20 คน โดยนายกฯ พูดคุยหยอกล้อกับเด็กอย่างเป็นกันเอง ซึ่งนายกฯ แกล้งถามเด็กว่า “รู้จักผมมั้ย” ซึ่งเด็กๆ ตอบกลับมาว่า รู้จักนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกฯ จึงสอนเด็กว่าต้องพูดครับ ค่ะด้วย เป็นคนไทยต้องพูดให้ไพเราะ ขอโทษ ขอบคุณและการไหว้ นี่คือความเป็นไทย และขอให้เป็นคนดีด้วย

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทางมาที่ อบต.บางซำอ้อ และกล่าวระหว่างพบปะประชาชนที่มาต้อนรับว่า รัฐบาลพยายามเดินทุกทาง ฟื้นฟูระบบเกษตรกรรมให้ทันสมัยครบวงจร ให้คนมีรายได้ดีขึ้น แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างเรื่องการปลูกข้าว ต้องรวมกลุ่มกันให้ได้เป็นแปลงใหญ่ เพื่อเข้าสู่ระบบสหกรณ์ เชื่อมโยงจากต้นทางสู่ปลายทาง วันนี้เราเปิดทางเลือก 2 ทาง คือ การขายและโรงสี ซึ่งเป็นไปตามราคาตลาดโลก ตนเข้าใจในปัญหาหนี้สินเกษตรกรและรัฐบาลจะทยอยแก้ไข ชาวนาต้องปรับวิธีการ ไม่ใช่จะรอแค่รัฐบาลใหม่เข้ามา รอขายข้าวให้ได้ราคาที่พอใจ แต่ไม่คิดว่าภาระตกอยู่ที่ผู้อื่น ถ้าคิดแบบเดิม ไม่ว่ารัฐบาลใดเข้ามาก็ไปไม่ได้

ลั่นจำนำยุ้งฉางต่างจากจำนำข้าว

“วันนี้บางคนไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลไม่เอาเงินมาแจกชาวนา แต่ความจริงเราใช้ไปเยอะ ใช้ในแบบเดียวกันนี้แต่ไม่ผิดกฎหมาย เพราะการจำนำยุ้งฉางไม่ได้เป็นการจำนำทุกเมล็ด เป็นการจำนำในบางช่วงบางเวลาที่มีปัญหาเท่านั้น จำนำในยุ้งฉางของท่านเอง ไม่ต้องเช่าคลังเก็บ เพราะต้องเสียค่าเช่าคลังกว่าปีละ 2-3 พันล้าน และที่นำออกมาขายก็ทำให้ท่านเดือดร้อนด้วย แต่จะทำอย่างไรได้เพราะเป็นภาระที่ผมรับมา ผมโทษใครไม่ได้เพราะเข้ามารับเอง แต่จะต้องบริหารจัดการตรงนี้ให้ได้ ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่รับผิดชอบปัญหาเก่า แล้วผมจะไปยังไง ขอให้เข้าใจตรงนี้ ซึ่งผมพยายามจะชี้แจง แม้คนจะไม่เข้าใจ แต่ก็ต้องรับผิดชอบต่อไป” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศการเกษตร นาก็ต้องทำ ไม่ใช่ให้เลิกทำ แต่อยากให้เปลี่ยนแปลงบ้างในพื้นที่ที่ปลูกไปแล้วเกิดความเสียหาย รัฐบาลรู้ปัญหา จึงมีมาตรการลดต้นทุนการปลูกข้าว โดยการฟื้นระบบสหกรณ์ และรัฐบาลกำลังออกกฎหมายอยู่ ต้องมีกติกาเก็บค่าเช่านา ทั้งนี้ อย่าจมอยู่กับความซ้ำซาก แล้งซ้ำซาก ท่วมซ้ำซาก และจนซ้ำซาก ตนเห็นใจ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาโศกเศร้า ต้องเอาความโศกเศร้าที่มีอยู่ การสูญเสียไปสู่ความร่วมมือร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว โดยร่วมมือกับรัฐบาลนี้ เริ่มต้นกับผมไปให้ได้ หลายอย่างที่คิดมาทั้งหมด ถ้าไม่ได้ทำก็จะกลายเป็นโม้ รัฐบาลพยายามทำ ติดตรงที่ว่าประชาชนไม่เข้าใจก็ไม่ร่วมมือ มีการบิดเบือนก็อีกเรื่อง จะให้ทำในพื้นที่ที่ทำได้ และปทุมธานีถือเป็นท็อปใน 76 จังหวัดเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีน้ำ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ชี้สิ่งสำคัญทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์และคณะเดินทางไปยังอาคารมูลนิธิชัยพัฒนา โครงการสระเก็บน้ำพระราม 9 เพื่อหารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำ ร่วมกับนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา พร้อมด้วยตัวแทนภาคเอกชนจากโครงการประชารัฐ

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์หลังหารือว่า เราพูดถึงต้นทาง กลางทาง ปลายทาง และทำอย่างไรให้เกิดขึ้นได้ในปี 2560-2561 ให้ได้มากที่สุด เอาตัวแบบนี้ที่ทำอยู่แล้ว เอาไปขยายให้มากขึ้น ในทุกพื้นที่ของประเทศ จะทำให้ได้มากที่สุด ซึ่งอยู่ในแผนแม่บทที่จะส่งต่อไป ทั้งการหาแหล่งน้ำ ระบบส่งน้ำ และการบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มพื้นที่ตามความต้องการของประชาชน ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุด ประชาชน สื่อมวลชน และข้าราชการต้องร่วมมือกัน ต้องขอบคุณนักธุรกิจเพราะเขาเข้ามาช่วยพื้นที่นี้ซึ่งอยู่ในกลไกประชารัฐ นี่คือสิ่งที่สื่อต้องช่วยขยายให้ตน อย่าไปขยายความขัดแย้งเท่านั้นเอง ตนจะทำให้หมด

บ่นอย่าเรียก‘จำนำยุ้งฉาง’

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ว่า เอาเกณฑ์ราคาข้าวเหนียวในช่วงที่ผ่านมา สรุปคือ ธ.ก.ส.ให้สินเชื่อรับซื้อตันละ 9,500 บาท และจะมีเพิ่มเติมช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพ ให้อีกตันละ 2,000 บาท ค่าขึ้นยุ้งเก็บรักษาตันละ 1,500 บาท รวมเป็น 13,000 บาท ส่วนที่ไม่มียุ้งฉาง ก็จะลดเงิน 1,500 บาทลงมา ซึ่งรัฐบาลหวังว่าราคาจะ ไม่ตกไปกว่านี้ ทั้งนี้วิธีนี้เรียกว่าการดูดซับออกมาข้างนอก โดยรัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งจะเก็บในยุ้งฉางตัวเอง ถ้าไม่มียุ้งฉาง ทางธ.ก.ส.จะจัดเก็บตามกลไกที่มีอยู่ ไม่ต้องไปจ้างเก็บหรือรับซื้อแบบคราวที่แล้ว ถือเป็นมาตรการชะลอการขาย โดยเก็บไว้ในยุ้งฉาง

“อย่าไปเรียกว่า จำนำยุ้งฉาง เพราะเดี๋ยวจะเหมือนกันอีก มันเหมือนที่ไหน อย่าไปเรียกให้เหมือนกัน มันเวียนหัว เพราะรัฐบาลไม่ได้ซื้อมาเก็บไว้เองทุกเมล็ด โดย 3 เดือนให้มาถ่ายถอน ถ้าไม่มาถ่ายถอน ธ.ก.ส.ก็ขาย ปัญหาวันนี้ข้าวยังขายไม่ได้หมด ข้าวใหม่มาอีกแล้ว เห็นใจรัฐบาลบ้าง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ให้‘สมชัย-มีชัย’ถ้อยทีถ้อยอาศัย

เมื่อถามถึงนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. โต้เถียงกับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. จนดูเหมือนเป็นความขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอให้ทุกคนถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน คุยกันให้รู้เรื่อง หากจะให้ปรามก็จะกลายเป็นว่าตนไปดุ ซึ่งกกต.และกรธ.เป็น ผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น และเชื่อมั่นว่าทุกคนปรารถนาดี แต่การตอบโต้ไปมาผ่านสื่อจะทำให้สังคมวิตกว่าจะเกิดความขัดแย้งกันอีกหรือไม่ ดังนั้น เรื่องนี้ต้องว่ากันด้วยเหตุผล

ผู้สื่อข่าวถามถึงคําสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 68/2559 ตามความในมาตรา 44 เด้งน.ส.ปณิตา ชินวัตร รองผอ.สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า ถึงวันนี้ยังไม่มีข้อเสนอเพิ่มเติมว่าจะให้โยกย้ายใครอีก เหตุผลการโยกย้ายเพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่อยากให้แบ่งพวกแบ่งฝ่ายในองค์กร ข้อสำคัญไม่ว่าใครจะเก่งหรือไม่ ปัญหาอยู่ที่ว่าจะขับเคลื่อนไปด้วยกันได้หรือไม่ ถ้าความคิดต่างกัน หรือทำให้เกิดความแตกแยกมันก็ไปไม่ได้ จำเป็นต้องแยกออกมาก่อน

ปัดไม่รู้เซ็นเด้ง‘ชินวัตร’

เมื่อถามว่ายืนยันได้ใช่หรือไม่ว่าการโยกย้ายไม่เกี่ยวกับประเด็นการเมือง พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามว่า “มันเกี่ยวตรงไหน นามสกุลอะไรผมยังไม่รู้เลย เขาส่งชื่อมาก็มี 3 คนที่จะต้องเอาออกมาก่อน เพื่อให้เขาทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ผมก็เซ็นคำสั่ง ผมไม่ได้สนใจว่านามสกุลอะไร นามสกุลนี้ทำถูกได้ทำผิดไม่ได้หรืออย่างไร ปัดโธ่” นายกฯ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์พูดจบได้เดินออกจากวงให้สัมภาษณ์ทันที ระหว่างนั้นมีกลุ่มแฟนคลับที่เข้ามาเป็นจิตอาสากรอกข้าวพอเพียง ภายในทำเนียบรัฐบาลได้ส่งเสียงเรียกนายกฯ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ได้ยกมือทักทาย ก่อนหันมากล่าวกับสื่อว่า คนพวกนี้แหละที่เขาต้องการปฏิรูปประเทศ มัวแต่ไปสนใจแต่นามสกุลอยู่นั้นแหละ

เผยแผน 20 ปีปรับเปลี่ยนได้

ค่ำวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ช่วงหนึ่งว่าปัจจุบันรัฐบาลอยู่ระหว่างจัดทำแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินตามยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี โดยมีกระบวนการที่เน้นความสอดคล้องและการบูรณาการ ทั้งแผนงานโครงการและแผนงานงบประมาณ อย่างไรก็ดีแผนก็คือแผน ย่อมปรับปรุงได้ตามความเหมาะสมเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยน ปัจจัยภายใน ภายนอก อาจส่งผลกระทบกับแผนที่วางไว้ต้องสามารถแก้ไขได้ อาจทบทวนรายปี ราย 5 ปี โดยประเมินจากปัจจัยต่างๆ ตลอดเวลา จะทำให้การตัดสินใจวันข้างหน้าทำได้ดีขึ้น ทำในสิ่งที่ดีกว่าแผนในปัจจุบัน ให้ทันกับสถานการณ์ทั้งในประเทศและสถาน การณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ กระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ต้องเร่งการวิจัย พัฒนา ให้ทันต่อเทคโนโลยีของโลกในศตวรรษที่ 21 ปฏิรูปครบวงจรทั้ง ด้านเกษตรกรรมต้องทำให้ครบวงจรอย่างยั่งยืนด้วย ลดการแข่งขัน แย่งตลาดกันเอง ต้องสร้างแบรนด์ของคนไทยให้ได้โดยเฉพาะแบรนด์ด้านการเกษตร แบรนด์ข้าวหอมมะลิที่แตกต่างกับข้าวหอม อื่นๆ ในโลก ด้านความมั่นคงต้องไม่ลืมที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกระทรวงกลาโหม กองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ทันสมัย มีความพร้อมทั้งอำนาจกำลังรบที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนที่เหมาะสม

ลั่นคนไม่ดีต้องไม่มีที่ยืน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ด้านยุติธรรมต้องช่วยกันสร้างกระบวนการยุติธรรมที่เชื่อถือไว้วางใจได้ทั้งระบบอย่างครบวงจร ต้องขจัดขบวนการทุจริต ผู้มีอิทธิพล เอารัดเอาเปรียบ ให้ได้โดยเร็วที่สุด ขจัดการทุจริต คอร์รัปชั่น ต้องทั้งสองฝ่ายทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนที่อะลุ้มอล่วยซึ่งกันและกัน ต้องช่วยกันแก้ทั้งคู่ คนไม่ดี ไม่มีคุณธรรม ทำผิดกฎหมายต้องไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไป สังคมต้องช่วยกันดูแล ใช้กฎหมายอย่างเดียวอาจไม่ทันการณ์ ไม่เพียงพอ แต่ต้องไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้ เว้นแต่ว่าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วได้รับการปรับปรุงตัวเองแก้ไข กระบวนการยุติธรรมตัดสินจนได้ข้อยุติ รับโทษทัณฑ์มาแล้วก็จบ ทุกคนก็สมควรได้รับโอกาสตามหลักสากลของโลก คือ โอกาสการกลับคืนสู่สังคม อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติวิธี สังคมก็ให้อภัยหมด

ที่กองบัญชาการกองทัพบก(บก.ทบ.) พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคสช. กล่าวถึงกรณีมีการส่งต่อข้อความในสังคมออนไลน์ อ้างเป็นประกาศแถลงการณ์ฉบับที่ 1 จากชาวนาทั่วประเทศระบุไม่ต้องการให้ทหารและตำรวจมาช่วยเกี่ยวข้าว เพราะที่ผ่านมาเกิดความเสียหายและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลว่า การเข้าไปช่วยเหลือชาวนาในหลายๆ รูปแบบ เป็นไปตามนโยบายของนายกฯและตามคำสั่งการของผบ.ทบ. ยืนยันว่าการเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในทุกกรณีจะไม่มีการรบกวน เบียดบังรีดไถ หรือสร้างความเดือดร้อนเพิ่มเติมต่อประชาชนอย่างเด็ดขาด

พิจิตรหนุนกองทุนฟื้นฟูหนี้

เวลา 12.30 น. ที่จ.พิจิตร นายมานพ พนมสังข์ แกนนำกลุ่มเกษตรกร เปิดเผยว่า วันที่ 21 พ.ย. เวลา 10.00 น. ตนและสมาชิกเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย(คนท.) บ้านทุ่งใหญ่ ต.ทุ่งใหญ่ อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร จะไปหนังสือสนับสนุนแนวคิดการจัดตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูหนี้สินเกษตรกร ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.พิจิตร จากนั้นจะเดินทางกลับบ้าน ไม่เรียกร้องอะไรเพราะรายละเอียดได้กำกับไว้ในหนังสือเรียบร้อยแล้ว

นายมานพกล่าวอีกว่า การที่นายสมคิดมีแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรเรื่องหนี้สิน ถือเป็นเรื่องที่ดี นอกจากนี้ในวันที่ 19 ธ.ค. เครือข่ายหนี้สินชาวนาฯ จะรวมตัวกันที่กระทรวงเกษตรและสกรณ์ กว่า 5,000 คน เพื่อขับไล่ นายวัชระพันธ์ จันทร์ขจร เลขาธิการกองทุนพัฒนาเกษตรกร เนื่องจากมีการใช้เงินผิดประเภท หลอกให้เกษตรกรเสียสิทธิ์ ต้องถูกยึดที่ทำกิน

201611181020591-20030315182420

ชาวนาแห่ให้กำลังใจ‘ปู’ขึ้นศาล

ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ พร้อมทีมทนาย เดินทางมาเพื่อขึ้นสืบพยานฝ่ายจำเลยนัดที่ 7 ในคดีโครงการรับจำนำข้าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยมีอดีตรัฐมนตรี แกนนำพรรคและอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย อาทิ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกฯ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกฯ และอดีต รมว.พาณิชย์ นายยรรยง พวงราช อดีตรมช.พาณิชย์ นายวราเทพ รัตนากร อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค ร่วมให้กำลังใจ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จำนวน 1 กองร้อย

โดยวันนี้มีกลุ่มชาวนาจากจ.อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ปทุมธานี ยโสธร เดินทางมาให้กำลังใจ พร้อมนำช่อรวงข้าวมามอบให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีชาวนา อ.โนนนารายณ์ จ.สุรินทร์ นำข้าวหอมมะลิมาขายบริเวณโรงจอดรถตรงข้ามศาล 1,200 กิโลกรัม ในราคาก.ก.ละ 25 บาทด้วย

นัดไต่สวนครั้งต่อไป 9 ธ.ค.นี้

นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีจำนำข้าว พร้อมองค์คณะรวม 9 คน ได้ไต่สวนพยานจำเลยนัดที่ 6 คดีหมายเลขดำ อม.22/2558 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลย โดยวันนี้ฝ่ายจำเลย เตรียมพยานให้ศาลไต่สวน 2 ปาก คือ นายอำพน กิตติอำพน อดีตเลขาธิการครม. และนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย อดีต รมช.คลัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การไต่สวนพยานฝ่ายจำเลยวันนี้มีเพียงนายทนุศักดิ์เท่านั้น เนื่องจากนายอำพน ทำหนังสือขอเลื่อนการไต่สวน ลงวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา เพราะยังอยู่ระหว่างการพักรักษาตัวจากอาการเส้นเลือดหัวใจอุดตัน โดยศาลสั่งให้ทนายจำเลยบริหารจัดการบัญชีรายชื่อพยาน พร้อมให้ตรวจสอบความชัดเจนในการมาเบิกความไต่สวนคดี และส่งต่อศาลภายใน 15 วัน

ศาลได้นัดไต่สวนพยานจำเลยครั้งต่อใปวันที่ 9 ธ.ค.นี้ เวลา 09.30 น. โดยจะไต่สวนพยาน 2 ปาก คือ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว.สรรหา และนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

‘ปู’วอนอย่าหว่านแหจับ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ถึงการขอทุเลาคำสั่งทางปกครองว่า ความจริงตนได้ยื่นขอให้เพิกถอนคำสั่ง แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับ ยืนยันว่าจะใช้สิทธิทุกขั้นตอนที่มีภายใต้กรอบเวลาของกฎหมาย โดยขณะนี้เป็นหน้าที่ของทีมทนายและฝ่ายกฎหมาย หากมีอะไรเพิ่มเติมจะเรียนให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงการฟ้องกลับด้วย

เมื่อถามถึงรัฐบาลเตรียมเอาผิดทางละเมิดในส่วนของผู้เกี่ยวข้องอีก 80 เปอร์เซ็นต์ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เมื่อรัฐจะเข้ามาตรวจตรงนี้ อยากขอให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกคน ทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกระบวนการกฎหมาย อย่าเร่งรัด แต่การหว่านแหแบบนี้ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นผลดีหรือไม่ อาจเป็นผล กระทบโดยกว้างมากกว่า

แนะหันหน้าช่วยชาวนากันดีกว่า

เมื่อถามว่าจะมีกิจกรรมช่วยเหลือชาวนาต่อหรือไม่ เพราะกิจกรรมที่ผ่านมาถูกมองว่าเป็นเรื่องการเมือง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เราทำเรารู้ เราคงห้ามไม่ได้กับผู้ที่จะมอง แต่ยามนี้เราควรช่วยกันแก้ปัญหาแก่ชาวนามากกว่าจะมาตีกันเป็นประเด็นการเมือง น่าจะบอกว่าต่างคนต่างมาช่วยชาวนาดีกว่า อย่ามาเถียงกัน หรือตีกันทางหน้าสื่อเลย

เมื่อถามถึงข้อเสนอของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) เรื่องการเพิ่มโทษกรณีคดีทุจริตให้แรงขึ้น เช่น ประหารชีวิต น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ผู้ที่คิดกฎกติกาก็ควรคิดกฎกติกาให้ทุกอย่างเดินไปได้ อย่ามองเพียงจุดเล็กจุดน้อยแล้วเอามาเขียนกติกากับคนหมู่มาก ตรงนี้จะทำให้เกิดปัญหาภายหลัง และการแก้ไขปัญหาจะทำได้ยาก

ปึ้งหวัง‘กรธ.’ยึดหลักการ

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรมว.ต่างประเทศและแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงนายมีชัยระบุองค์กรอิสระเปรียบเหมือนเสาหลักของบ้านเมือง ที่มาและคุณสมบัติของบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งจึงมีความสำคัญว่า การกำหนดคุณสมบัติต้องรอบคอบ ละเอียดถี่ถ้วน ได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาทำหน้าที่ และต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน ถูกต้องตามที่กฎหมายลูกกำหนดไว้และตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ใครจะเก่งกว่าใครหรือไม่ คงไม่ใช่สาระที่จะถูกหยิบยกมาพูดอวดอ้างหรือโต้เถียงกันเหมือนในขณะนี้

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า หลักการของกฎหมายและการปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องยึดถือ ไม่ใช่ต่างคนต่างใช้จินตนาการตีความตัวบทบัญญัติของกฎหมายเอาเอง แบบเข้าข้างตนเองเพื่อประโยชน์ของพวกตน หรือใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทำลายกัน ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายจึงหายไป อยากขอร้องให้ทุกฝ่ายคิดถึงหลักการของบ้านเมือง และขอให้กรธ.ยกร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญให้ดีที่สุด ตรงไปตรงมาเพื่ออนาคตของ บ้านเมือง และหวังจะได้เห็นองค์กรอิสระมีคุณสมบัติที่ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ทุกประการ ย่อมจะทำให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้โดยปราศจากปัญหาตามมา

หมวดเจี๊ยบจัดหนัก‘บิ๊กตู่’

ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต ทีมงานสำนักเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ไม่เห็นใจคนทุกข์ยาก ชอบตำหนิว่าแบมือขอ ที่ผ่านมามีผลงานโดดเด่นอย่างเดียว คือใช้อำนาจสั่งย้ายคนนั้นคนนี้ บางคนแค่คิดเห็นไม่ตรงก็เด้งเขาทันทีแทบไม่ทันข้ามวัน แต่เรื่องของคนใกล้ตัวกลับไม่เคยมองเห็น นอกจากนี้ยังใช้อำนาจแทรกแซงการทำงานของสื่อ ปิดปากคนที่คิดต่างจากรัฐบาล ทำให้สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทยตกต่ำไปอยู่อันดับท้ายๆ ของโลก

ปปช.ยันไม่รื้อคดี‘บิ๊กติ๊ก’

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์หลังเป็นประธานทำบุญตักบาตรในโอกาสครบรอบ 17 ปีการก่อตั้งสำนักงานป.ป.ช.ว่า ครบรอบ 17 ปีป.ป.ช.ยังเดินหน้าการทำงานให้เป็นไปตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ คือเร่งทำคดีที่เหลืออยู่และคดีที่รับใหม่ โดยคดีที่เหลืออยู่จะทำให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี ส่วนคดีรับใหม่จะทำให้เสร็จภายใน 1 ปี ส่วนความคืบหน้าการจัดทำ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการป.ป.ช. ซึ่งจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนรับฟังความคิดเห็นและปรับปรุง และส่งให้กรธ.ภายในวันที่ 30 พ.ย.นี้ โดยเนื้อหายังยึดกับกฎหมายเดิมและมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับเนื้อหาในรัฐธรรมนูญมากขึ้น ส่วนคุณสมบัติกรรมการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญใหม่ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายทั้งรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูก หากกฎหมายเขียนไว้อย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว

เมื่อถามถึงกรณีป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เมื่อช่วงดำรงตำแหน่งสนช. ไม่ได้จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ โดยไม่ได้ตรวจสอบบัญชีเงินฝากของนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภรรยาพล.อ.ปรีชา ที่แจ้งว่าไม่มีรายได้และไม่ได้ประกอบธุรกิจ แต่มีเงินหมุนเวียนเข้าออกในบัญชีเงินฝากหลายสิบล้านบาท ในปี 2557 พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่มีประเด็นให้ต้องตรวจสอบเพิ่มเติมและยังไม่มีบุคคลใดเข้ามาร้องเรียนหรือแสดงพยานหลักฐานใหม่ ดังนั้น คณะกรรมการป.ป.ช.จึงยังคงมติเดิมที่ให้ข้อกล่าวหาตกไปอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะใช้ประเด็นที่นางผ่องพรรณมีเงินไหลเวียนในบัญชีหลายสิบล้านบาททั้งที่ไม่มีรายได้และไม่ได้ประกอบธุรกิจเป็นเหตุอันควรสงสัยเพื่อเข้าไปไต่สวนเพื่อดูเรื่องร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ พล.ต.อ. วัชรพลกล่าวว่าต้องดูรายละเอียดและประเด็นหลักฐานเพิ่มเติม แต่ปัจจุบันยังไม่มีบุคคลร้องเรียนเข้ามาใหม่จึงต้องคงตามมติเดิมไว้ เนื่องจากตามกฎหมายป.ป.ช.หากจะรื้อคดีขึ้นใหม่ได้จะต้องมีพยานหลักฐานใหม่ แต่หากไม่มีก็ไม่สามารถทำได้ เพราะอาจจะขัดกับกฎหมายได้ คณะกรรมการป.ป.ช.ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาด้วย

ศรีสุวรรณโวยโดนข่มขู่

วันเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์กรณีที่ถูกคุกคาม ปองร้ายจากการทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจรัฐ ว่า ตามที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพลเมืองที่ดีในการติดตาม ตรวจสอบ การใช้อำนาจรัฐ การบริหารราชการแผ่นดินของผู้มีอำนาจที่อาจไม่เป็นไปตามกฎหมายตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทุกรัฐบาล อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งอาจจะเป็นการขัดขวางอำนาจและผลประโยชน์ของผู้ประสงค์ร้ายต่อบ้านเมืองก็เป็นไปได้นั้น แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมาระหว่างขึ้นรถส่วนตัวเพื่อจะเดินทางกลับ หลังจากยื่นฟ้องหน่วยงานภาครัฐต่อศาลปกครองกลาง เพื่อเพิกถอนแผน PDP2015 ได้มีชายนิรนามเดินเข้ามาถ่ายรูป และมีรถยนต์ 2 คัน ขับติดตามอย่างมีพิรุธ ทำให้คนขับรถเปลี่ยนเส้นทางรถ เพื่อสังเกตว่าจะยังคงถูกติดตามจริงหรือไม่ แต่ปรากฏว่ารถยนต์ทั้ง 2 คันดังกล่าวยังขับวนเปลี่ยนเส้นทางตาม จึงตัดสินใจขับรถวกเข้า สน.บางเขน โดยทีมงานของสมาคมได้ถ่ายภาพรถคันที่ตามดังกล่าว ทำให้ผู้ที่ขับรถตาม ขับหนีออกจากสน.บางเขนหนี

ขณะที่ตนได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ไว้เป็นหลักฐาน เพราะกรณีดังกล่าวถือว่าเป็นภัยคุกคามสิทธิ เสรีภาพ และสวัสดิภาพ และการทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองดีตามนโยบายของ หัวหน้าคสช.โดยตรง และสะท้อนให้เห็นถึงการยังคงมีพฤติการณ์ของการใช้อำนาจเถื่อน ข่มขู่ คุกคามประชาชน และจะเดินทางมายื่นเรื่องที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ถึงนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ในวันจันทร์ที่ 21 พ.ย. เวลา 11.00 น. เพื่อขอความคุ้มครอง ว่าหากถูกปองร้าย ลักพาตัว เสียชีวิต เชื่อได้ว่ามีผลมาจากการตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบของผู้มีอำนาจที่ตนได้ยื่นตรวจสอบไว้ต่อ ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ สตง.

‘มีชัย’ยันข้อเสนอกรธ.ปรับได้

ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม ถึงคุณสมบัติต้องห้ามของคณะกรรมการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ มาตรา 216 (3) ประกอบมาตรา 202 (1) ห้ามเคยเป็นองค์กรอิสระมาก่อนว่า ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการสรรหา เพราะกฎหมายกกต.ที่จะออกมา เรากำหนดให้คณะกรรมการสรรหา ตามมาตรา 203 วินิจฉัยเอง ไม่ต้องมีคนมาร้อง โดยจะสอบประวัติทุกคน ของทุกหน่วยงาน ใครขาดคุณสมบัติก็ชี้มา ซึ่งเจตนารมณ์ของกรธ.ในมาตราดังกล่าวไม่ต้องการให้บุคคลเดิมทำหน้าที่ซ้ำไปซ้ำมาอีก แต่ตอนที่กรรมการองค์กรอิสระที่เข้ามาได้ตามรัฐธรรมนูญเดิม เพราะไม่มีข้อห้ามนี้ กรธ.จึงให้คณะกรรมการสรรหาหาข้อยุติ ไม่ต้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามถึงขั้นตอนผ่านกฎหมายลูกตามมาตรา 267 หากสนช.มีมติ 2 ใน 3 ตีตกกฎหมายลูกของกมธ. นายมีชัยกล่าวว่า หากไปถึงการตั้งกมธ.ร่วม แสดงว่าสนช.ต้องแก้ไขร่างกฎหมายลูกที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของ กรธ. เมื่อกมธ.ร่วมเสนอร่างกฎหมายให้สนช.อีกครั้ง แล้วถูกตีตกด้วยเสียง 2 ใน 3 มาตรา 267 ไม่ได้บอกว่า ให้สนช.ไปนำร่างเดิมที่แก้ไขก่อนมีการตั้งกมธ.ร่วมมาลงมติเห็นชอบใหม่อีกครั้ง คิดว่าเมื่อเป็นเช่นนั้น รัฐบาลคงต้องเป็นผู้ร่างกฎหมายลูกตัวนั้นมาให้สนช.พิจารณาใหม่เอง หรือ หากยังไม่ครบกำหนด 8 เดือน กรธ.อาจจะร่างให้ใหม่ได้ คงไม่ถึงขนาดคุยกันไม่ได้ จนต้องตั้งกมธ.ร่วม สิ่งที่เรานำเสนอไป ต้องสุดโต่ง พอถึงขั้นต่อไปเขาอาจปรับเปลี่ยนได้ ความเห็นต่างคุยกันได้ เชื่อว่าไม่น่ามีประเด็นขัดแย้งรุนแรง

สนช.ปัดเห็นสวนทางกรธ.

นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่หนึ่ง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)พิจารณาศึกษา เสนอแนะ และรวบรวมความเห็น เพื่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์กรณีมีการมองสวนทางกันเกี่ยวกับการร่างกฎหมายลูก ระหว่าง สนช.กับกรธ. ว่า ยังไม่มีบทสรุปว่ามีความเห็นสวนทางกับกรธ. เพราะร่างกฎหมายลูกอย่างเป็นทางการของกรธ. ยังไม่ได้เผยแพร่ ซึ่งนายมีชัยบอกแล้วว่ายังไม่ตกผลึก และอยู่ในขั้นรับฟังความเห็น

นายสุรชัยกล่าวว่า ประเด็นที่ถกเถียงกันมากคือการรีเซ็ตหรือเซ็ตซีโร่องค์กรอิสระหรือไม่ ซึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติกำหนดให้เป็นต่อได้หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ จนกว่าจะมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญออกมา ถึงตอนนั้นก็แล้วแต่กฎหมายลูกจะเขียนอย่างไร ถ้าเขียนให้อยู่ต่อก็อยู่ต่อ ถ้าเขียนให้ต้องเปลี่ยนแปลงก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายลูก ตรงนี้คือหัวใจว่าทางออกที่ดีที่สุดขององค์กรอิสระและพรรคการเมืองจะมีผลอย่างไรหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ไม่ว่า กรธ.จะตกผลึกอย่างไร โจทย์ข้อนี้ต้องมาอยู่ที่สนช.

ชี้ทางออกตั้งกมธ.ร่วมกัน

“ถ้าสนช.เห็นต่างกับกรธ. กระบวนการต่อไปคือตั้งกมธ.ร่วม ระหว่าง สนช. กรธ.และองค์กรอิสระ หรือศาลที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายฉบับนั้น 11 คน และมีขั้นตอนสุดท้ายคือ กมธ.ร่วมต้องทำรายงานเสนอกลับมาที่ สนช.อีกครั้ง โดยสนช.ต้องใช้เสียงโหวต 2 ใน 3 หากจะเห็นต่างจาก กมธ.ร่วม แต่กระบวนการที่ออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญค่อนข้างรัดกุม มีการถ่วงดุลระหว่างสภากับกรธ. เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายต้องตีโจทย์นี้ให้แตก และหากติกาที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมือง” รองประธานสนช. กล่าว

เมื่อถามว่ากกต.บางคนกังวลในกติกาใหม่ที่จะออกมา นายสุรชัยกล่าวว่า เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ตนคิดว่าองค์กรอิสระทุกองค์กร กังวลแน่นอนว่าสุดท้ายแล้วการอยู่ต่อไปหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้จะมีผลอย่างไร ซึ่งทุกคนต้องปรับตัวเข้าหากติกาใหม่ และสนช.เคยจัดสัมมนาเกี่ยวกับคุณสมบัติใหม่ตามรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยเช่นกัน

เมื่อถามถึงบทลงโทษพรรคการเมืองที่ซื้อขายตำแหน่งถึงขั้นประหารชีวิต นายสุรชัย กล่าวว่า เป็นแนวคิดที่ต้องการปฏิรูประบบการเมืองให้ใสสะอาด ไม่ให้มีทุจริตการเลือกตั้ง จึงเป็นแนวคิดที่มีมาตรการลงโทษอย่างรุนแรง เป็นการให้ยาแรง ซึ่งน่าจะเป็นวิธีที่ได้ผล เรื่องนี้เป็นแนวคิดของกรธ. แต่สนช.ก็คิดในแนวอื่นๆ เผื่อไว้ด้วยว่ามีแนวคิดและมาตรการลงโทษอื่นๆ หรือไม่ ที่จะได้ผลจัดการทุจริตเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ในขั้นจัดทำกฎหมายลูกจะถึงขั้นตั้งกมธ.ร่วมหรือไม่นั้น ยังมีอีกหลายปัจจัย รวมทั้งบทบัญญัติของ กรธ.และแนวคิดของสนช. ในระหว่างนี้ ตนพยายามปูพื้นฐานให้ สนช.มีความเข้าใจรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกในเชิงลึก

นิพิฏฐ์แนะให้‘คนเก่า’อยู่ต่อ

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวถึงความเห็นต่าง ระหว่างกรธ.กับกกต.เรื่องการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกกต.ว่า ตนเห็นด้วยกับนายมีชัยว่า หลักการเขียนกฎหมายลูก ต้องเป็นไปตามที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ประชาชนผ่านประชามติมาให้ จะขัดกับฉบับแม่ไม่ได้ แต่ใจตนอยากให้เขียนในบทเฉพาะ กาลไว้ว่า ผู้ดำรงตำแหน่งใดๆ ในองค์กรอิสระเดิมตามรัฐธรรมนูญเก่า ให้เขาอยู่ต่อไปจนครบวาระ พอคนเก่าพ้นตำแหน่ง ค่อยหาคนใหม่แทนตามรัฐธรรมนูญใหม่ หากปล่อยไปจนอาจเกิดความเห็นต่าง ไม่ตรงกันเรื่องคนเก่าจะอยู่ต่อ หรือคนใหม่จะมาแทน จะต้องมีหน่วยงานมาตัดสิน ซึ่งในการตัดสินก็มีศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้อาจมีคนส่งไปตีความว่าขัดหรือไม่ ทีนี้ต้องไปดูในบทเฉพาะกาลวุ่นวายอีก

“ฝ่ายผู้ร่างกฎหมายลูกอย่าไปขัดแย้งกันเลย เป็นธรรมดาที่การกำหนดกติกาใหม่ๆ จะไปก้าวล่วงการทำงานแต่ละฝ่ายที่มีอยู่เดิม พอเขาได้รับผลกระทบก็อยากให้มีข้อยกเว้น ถ้าทำอย่างที่แนะนำได้จะไม่ขัดแย้ง ยกเว้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยากให้วุ่นวาย กฎหมายลูกเขียนง่ายมาก มีเค้าโครงหลักในร่างแม่อยู่ แค่เหล่มองร่างหลักไปด้วย เขียนกฎหมายลูกไปด้วยออกมาเสร็จไล่เลี่ยกันยังได้ แต่บ้านเราก็แปลกกลับทำตรงกันข้าม ชอบทำของง่ายให้ยาก” นายนิพิฏฐ์กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน