เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 18 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ไลฟ์สดคืนวันศุกร์ให้ประชาชน ผ่านเฟซบุ๊กเพจ อนาคตใหม่ – the future we want โดยตอนหนึ่งทั้งสองกล่าวถึง โศกนาฏกรรมประวัติศาสตร์การเมืองไทย 26 ปี พฤษภาทมิฬ 2535 กับ 8 ปี สลายการชุมนุมพฤษภา 2553 และ 4 ปี รัฐประหารพฤษภา 2557
นายธนาธร กล่าวว่า ไม่ว่าจะพฤษภา 35 ที่มีตัวเลขเสียชีวิต 40 ศพ หรือ เมษาฯ-พฤษภาฯ 53 ที่มีผู้เสียชีวิต 99 ศพ กลุ่มคนที่ตัดสินใจปราบประชาชน ไม่เคยถูกนำมาลงโทษสักคน มีการอ้างเทคนิกว่า ฟ้องผิดศาล ควรไปฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ต้องผ่านป.ป.ช. ซึ่งก็ตั้งมาโดยทหาร หากไปยื่นก็น่าจะแป้กอีก และเรื่องเหล่านี้ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่รัฐออกมาขอโทษ
แม้ตนไปร่วมงานรำลึกพรุ่งนี้ไม่ได้ แต่ขอบอกว่า Unfortunately People Remember หรือ โชคไม่ดีเราจำได้ เหตุการณ์เหล่านี้เราไม่เคยลืม มันเป็นภาระของเราที่ต้องเอาคนที่มีส่วนร่วมคนฆ่าในอดีตมาลงโทษให้ได้ ไม่ใช่แค่กรณีเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเหตุอื่นด้วยเช่นเหตุรุนแรงที่บิ๊กซีเมื่อชุมนุมกปปส. ต้องเอาผิดให้ได้ เพื่อสร้างบรรรทัดฐานว่า อาชญากรรมโดยรัฐทำไม่ได้ ผู้กระทำต้องรับโทษ
อย่างกรณีปี 2553 ก็มีหนังสือประวัติศาสตร์ประชาชน หนา 1,400 หน้า ที่รวบรวมโดย ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณีเม.ย. – พ.ค.53 (ศปช.) โดยกลุ่มนักวิชาการ ก็ถือเป็นรายงานที่สมบูรณ์มากที่สุดในประเทศไทย ยิ่งกว่าของนายคณิต ณ นคร จาก คอป. ที่ตั้งโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งบอกเพียงบางกรณีเท่านั้น ที่แนวโน้มความรุนแรงมาจากเจ้าหน้าที่รัฐ
ตลอด 4 ปีคสช. มีผู้ถูกดำเนินคดีแล้วหลายร้อยคน การใช้บรรยากาศแห่งความกลัวนี้ จึงทำให้พูดได้ว่า ไม่มีใครอยากเลือกตั้ง สิ่งที่พวกตนพูดไม่ใช่เรื่องก้าวร้าว เป็นเรื่องปกติตามครรลองประชาธิปไตย เราคนเดียวอาจกลัวเขา แต่หากเรามีหมื่นคนเมื่อไหร่ เขาต้องกลัวเรา อย่าไปกลัวเขา ต้องเรียกเผด็จการไม่ใช่คสช. เขาต้องกลัวประชาชน อำนาจที่เขาใช้คือ อำนาจที่ประชาชนพึงมี แต่เขาใช้อำนาจจากปากกระบอกปืนแย่งไป เราต้องอย่ากลัว เราไม่ใช่ภัยคุกคามประเทศ แต่เราหวังดี
ด้านเศรษฐกิจ ในแง่โครงสร้างพื้นฐาน เราไม่เห็นการพัฒนาที่จะแข่งขันได้ 4 ปี ถือว่า เสียโอกาสไปเยอะมาก ที่เห็นชัดคือ ความไม่เข้าใจเศรษฐกิจสมัยใหม่ อย่างดิจิทัล มีการควบคุมการระดมทุน Crypto Currency ไม่สนับสนุนให้ใช้อย่างแพร่หลาย เพราะไปคุกคามธนาคาร จึงปิดกั้นประชาชนไม่ให้เรียนรู้และอยู่กับมัน นอกจากนี้ยังทำงบประมาณขาดดุลไปแล้ว 2 ล้านล้าน เสียความเชื่อมั่นจากต่างชาติ และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศก็ลดลงไปกว่าครึ่ง
ปิยบุตร กล่าวว่า กรณีสลายชุมนุมปี 53 เป็นเรื่องเทคนิกทางกฎหมาย ซึ่งศาลวินิจฉฉัยว่าไม่มีอำนาจ ต้องไปฟ้องศาลฎีนักการเมือง ซึ่งประชาชนฟ้องเองไม่ได้ ต้องเริ่มจากป.ป.ช. เพื่อไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งก็น่าตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยปกติ จะไม่อยากโดนศาลนี้ เพราะมีชั้นเดียวจบ ไม่มีอุทธรณ์ 3 ชั้น เหมือนศาลยุติธรรม ไม่มีใครอยากขึ้น แต่คดีนี้แปลกที่ว่า ทำไมผู้ถูกกล่าวหา จึงโต้แย้งว่า ต้องไปศาลนี้ และทำไมอัยการที่ฟ้องอาญา 288 ฐานฆ่าคนตาย ซึ่งถือเป็นความผิดส่วนตัว
“หากเอาคนทำผิดมาลงโทษได้ เจ้าหน้าที่รัฐจะไม่กล้าทำผิดแบบนี้อีก เหตุรุนแรงปราบประชาชนจะหายไปจากสังคม ที่กล้าทำกันทุกวันนี้ก็เพราะนิรโทษตัวเองได้เหมือนพฤษภา 35 ส่วนปี 53 แม้ยังไม่นิรโทษ แต่ก็ติดขัดอุปสรรคทางกฎหมาย”
นับจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มีรัฐประหารบ่อยมาก การเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 1-20 ผิดปกติทั้งหมด โดยกองทัพ ทำแบบอารยชนไม่ได้ ใช้กองทัพมาฉีกทุกที รัฐประหาร 2557 มีเอกลักษณ์ 5 ข้อ 1. สัมพันธ์กับประหาร 2549 เป็นการซ่อมจากครั้งก่อน 2. ปลอดรัฐธรรมนูญเกือบ 2 เดือน 3. รัฐประหารต้องการอยู่ยาว เป็นครั้งที่ 3 ครั้งแรกคือ จอมพลสฤษดิ์ – จอมพลถนอม 16 ปี ครั้งสองคือ รัฐประหาร 6 ตุลา 19 ธานินท์ กรัยวิเชียร ต้องการ 12 ปี ทุกครั้งมีเหตุผลพิเศษ รอบแรกคือ ภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ ต่อมาก็เพราะต้องการจัดการเพื่อหยุดฝ่ายก้าวหน้า ครั้งนี้คือเพื่อต้องการหยุดยั้งประชาธิปไตย 4. รัฐประหารเสร็จ มีรัฐธรรมนูญถาวร แต่ 1 ปีเศษ ยังไม่ได้เลือกตั้ง และ5. มีการใช้อำนาจพิเศษของหัวหน้าคณะรัฐประหารมากที่สุด ใช้ม.44 หลักร้อยฉบับ ถึงแม้รัฐธรรมนูญจะประกาศใช้แล้วก็ตาม
“ทำไมศตวรรษที่ 21 จึงมีรัฐประหารที่อยู่ยาวได้ แล้วยังอาจจะสืบทอดอำนาจอยู่ไปได้อีก ความมั่นคงของรัฐ ไม่ใช่ความมั่นคงของคสช. การวิจารณ์ต้องทำได้ ส่วนหนทางกลับสู่ระบบปกติคือ 1.กลับสู่การเลือกตั้ง 2.ยุติการสืบทอดอำนาจ ไม่ให้พล.อ.ประยุทธ์กลับมาสู่ตำแหน่งได้อีก เพราะหมดความชอบธรรมแล้ว 3.จัดการทบทวนมรดกตกทอดที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน โดยการยกเลิกมาตรา 279 ของรัฐธรรมนูญ 2560 และ 4.ต้องแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งฉบับ”