ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุก 2 ปี 6 เดือน พนักงานสอบสวนให้การเท็จ ใส่ร้าย จำเลยหลายคนในคดี ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน พัทยา ปี 2552 แต่ให้รอกำหนดโทษ 2 ปี ด้านจำเลยในคดี ล้มการประชุมอาเซียนลั่น เรียกร้องความยุติธรรมต่อ สตช. และ อัยการสูงสุดต่อไป

ที่ศาลจังหวัดพัทยา เวลาประมาณ 10:00 น. ศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษา คดีที่พนักงานอัยการจังหวัดพัทยา ฟ้อง พันตำรวจโทศราวุฒ บุญชัย จำเลยคดีให้การเท็จ ที่ได้ให้การ เบิกความเท็จ นำสู่บุคคลหลายท่านถูกตั้งข้อหา ดำเนินคดีหรือแม้กระทั่งต้องติดคุก ในคดีล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน พัทยา ปี 2552 ทั้ง ๆ ที่หลาย ๆ คนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นการเพื่อจะแกล้งให้ผู้เสียหายต้องรับโทษทางอาญา และเบิกความอันเป็นเท็จ เป็นข้อสำคัญในคดีอาญา โดยจำเลยรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 172, 174 วรรค 2 177 วรรค 2 การกระทำของจำเลยมีความผิดต่างวันเวลาโทษตาม 174 วรรค 2 อันเป็นกฎหมายสูงสุด ฐานแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนจำคุก 2 ปีและปรับ 1 หมื่นบาท และฐานเบิกความเท็จโทษจำคุก 3 ปีและปรับ 14,000 บาท จำเลยให้การสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิพากษาจำคุก 2 ปี 6 เดือนและปรับ 12,000 บาทโทษจำคุกรอลงอาญา 2 ปีรายงานคุมประพฤติ 1 ปีกำหนด 4 เดือนครั้ง บำเพ็ญประโยชน์ 24 ชั่วโมง โดยหลังการพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยได้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยของศาล ยอมชดใช้เงิน 300000 บาท แก่ผู้เสียหายคนหนึ่ง คือ พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์ จนไม่ติดใจดำเนินคดี ถอนตัวออกจากการเป็นโจทก์ร่วม

ศาลอุทธรณ์ พิพากษาว่า การที่ศาลชั้นต้น ใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษและรอการลงโทษจำคุกจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค2 ไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ สมควรคุมความประพฤติจำเลยไว้ระยะหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยมานั้นฟังไม่ขึ้น

การที่ศาลชั้นต้นปรับบทความผิดของจำเลยตามมาตรา 137 มาด้วยนั้น เห็นว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนเป็นความผิดมาตรา 172 และ 174 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติเป็นความผิดไว้โดยเฉพาะแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 137 ปัญหาดังกล่าวเหล่านี้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137ลงโทษ ตามมาตรา 174 วรรคสอง ฐานแจ้งความเท็จ เพื่อให้บุคคลอื่นได้รับโทษทางอาญา ให้รอกำหนดโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

กลุ่มคนเสื้อแดง ที่โรงแรมรอยัลคลิปบีช พัทยา เมื่อปี 2552

นายนพพร นามเชียงใต้ 1ใน จำเลยคดีล้มการประชุมอาเซียน กล่าวว่า พันตำรวจโทศราวุฒ ได้ให้การเท็จส่งผลกระทบถึงตนมาก เนื่องจาก ได้ให้การว่าตนอยู่ในเหตุการณ์วันที่ 11เมษายน 2552 ซึ่งข้อเท็จจริงตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันดังกล่าว ทำให้ตนตกเป็นจำเลยคดีล้มการประชุมอาเซียน และต้องติดคุกอยู่หลายเดือน ทำให้ตนคิดว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม และจะเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไป จะมีการไปเรียกร้องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ สำนักงานอัยการสูงสุดต่อไป

หนึ่งในจำเลยในคดีล้มการประชุมอาเซี่ยน และทนายความ

จากกรณี พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์ อดีตผู้กำกับการ สภ.ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตกเป็นจำเลยคดีบุกล้มการประชุมอาเซียนซัมมิทที่พัทยาตั้งแต่ปี 2552 อดีตเป็นอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ต่อสู้คดีมานานหลายปี ศาลชั้นต้นยกฟ้อง 5 มีนาคม 2558 และอัยการไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุด ต่อมา พ.ต.อ.สมพล ฟ้อง พ.ต.ท.ศราวุธ บุญชัย พยานในคดีว่าเป็นพยานเท็จ เนื่องจากมีพยานหลักฐานเป็นบันทึกประจำวันแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง ว่าเวลาเดียวกับที่ถูกกล่าวหาว่าตนเองอยู่ที่พัทยานั้น พ.ต.อ.สมพลแจ้งความนาฬิกาโรเล็กซ์หายอยู่ที่ สน.นางเลิ้ง ศาลพัทยาจึงยกฟ้อง เพราะไม่มีบุคคลใดสามารถปรากฏกายได้ในสองสถานที่ในเวลาเดียวกันได้ หลังจากแจ้งความกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ศราวุธ บุญชัย ว่าเป็นพยานเท็จด้วยการร้องทุกข์กับตำรวจ สภ.พัทยา ตำรวจสั่งฟ้อง อัยการสั่งฟ้อง เป็น
จำเลยต่อศาลจังหวัดพัทยา นำสู่การพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น และ ศาลอุทธรณ์ในวันนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน