“จตุพร” เปิดใจ ยัน เดินหน้า สานแนวทางนปช. ชี้ ประตูทางการเมืองของตนเองปิดตายแล้ว จ่อ ใช้เฟซบุ๊กไลฟ์สื่อสานกับสมาชิก ส่วนแกนนำแดงบางพื้นที่โดนดูดบอกเป็นเรื่องเล็ก แต่ วิกฤติศรัทธา เรื่องใหญ่กว่า
– เปิดใจ-จตุพร / เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 5 สิงหาคม ที่ชั้น 5 ห้างอิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว นปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. ให้สัมภาษณ์ถึงการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ว่า ส่วนตัว ตนได้ประกาศจะไม่ลงรับสมัครรับเลือกตั้งแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะมีการรัฐประหาร และรัฐธรรมนูญผ่าน ซึ่งเป็นการประกาศด้วยสัจจะวาจา แต่ในทางกฎหมาย หลังจากติดคุก เมื่อพ้นโทษก็ต้องผ่านไป 10 ปี จึงจะทำได้ ดังนั้น ประตูที่จะเข้าสู่สภาของตนได้ปิดหมดแล้ว แต่ภาระกิจของนปช.ถือเป็นภาระ และหน้าที่ในห้วงเวลาที่เหลืออยู่นี้ เชื่อว่าทุกฝ่ายก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ และในอนาคตก็ยังไม่มีใครสามารถตอบได้ชัดเจนว่าวันเลือกตั้งคือวันใด
ฝ่ายการเมืองจะต้องระมัดระวัง และต้องประคับประคองมิให้ถูกหยิบยกเรื่องราวต่างๆที่จะเป็นสาเหตุจนถูกนำเป็นเหตุผลในการล้มกระดาน และเป็นสาเหตุในการยึดอำนาจในวันข้างหน้าได้อีก ไม่เช่นนั้นการกระทำในวันนี้จะถูกหยิบขึ้นมาเป็นเหตุผลในการล้มกระดานได้อีก และเพื่อทำให้เห็นว่าตลาดของนักการเมืองในวันที่จะมีการเลือกตั้งเกิดสิ่งที่เราได้เห็นกัน ตนจึงได้เน้นย้ำถึงความน่ากังวล ความน่าห่วงใย ว่าประเทศไทยจะไม่สามารถก้าวไปถึงไหน คือเดินไปข้างหน้า 2 ก้าว เพื่อเดินถอยหลัง 3 ก้าว ดังนั้นยิ่งเดินยิ่งช้า ดังนั้น ไม่ว่าบ้านเมืองจะเหลือเวลาอีกเท่าไหร่อีกก็ตาม ซีกการเมืองต้องใช้ความระมัดระวังให้มากกว่านี้ และซีกกระบวนการประชาธิปไตยเราก็ต้องทำหน้าที่รณรงค์ประชาธิปไตย และเมื่อมีการเลือกตั้ง หน้าที่ในการตรวจสอบก็ยังเป็นของประชาชน
“ข้อเสนอ 10 ประเด็นของนปช.ที่เคยยื่นไว้ต่อกระทรวงกลาโหมที่คสช.ตั้งโจทก์ถามมานั้นน่าจะเป็นแนวทางในการร่วมหาทางออกให้กับประเทศ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้ นปช.ไม่เคยพูดว่า ที่เราทำมาทั้งหมด เราทำถูกทั้งหมด ดังนั้น จึงเชื่อว่าแต่ละฝ่ายหากได้ซึมซับปัญหาบ้านเมือง แล้วต่างคนต่างทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ไม่เป็นสาเหตุให้บ้านเมืองกลับมาในจุดนี้อีก ก็ต้องไม่ทำในสิ่งเหล่านั้น อย่างนี้ก็ถือเป็นการเริ่มต้นแล้ว” นายจตุพร กล่าว
เมื่อถามว่า ขณะนี้แกนนำนปช.ในภาคอีสานหลายคนมีความเปลี่ยนแปลงไป จะทำอย่างไร นายจตุพร กล่าวว่า การพูดคุยกับคนที่มีความเห็นต่าง เราก็ยังสามารถกระทำกันได้ และก่อนที่จะเดินไปข้างหน้า เราก็ต้องสบายใจกันก่อนว่า เราจะไม่ไปหกล้มข้างหน้ากันอีก ดังนั้น เรื่องบุคคลเป็นเรื่องเล็ก แต่นี่คือเรื่องวิกฤติศรัทธา เรื่องผลการเลือกตั้ง ทุกคนต่างรู้ปลายทางกันหมด ดังนั้นความน่ากลัวไม่ใช่เรื่องผลการเลอืกตั้ง แต่เรื่องความเสื่อมต่างหากที่น่ากลัวที่จะทำให้ทั้งกระบวนการอาจเป็นปัญหามนอนาคต ซึ่งตนเห็นว่า มันไม่ใช่แต้มต่อทางการเมือง แต่จะเป็นหลุมดำในวันข้างหน้าที่จะถูกหยิบยกที่จะใช้มาเป็นเหตุผลในการล้มกระดาน
เมื่อถามว่า มีแผนรับมือกับพลังดูดที่รุกหนักในขณะนี้อย่างไร นายจตุพร กล่าวว่า ตนบอกแล้วว่าไม่มีอะไรน่ากลัว การดูดไม่ใช่เรื่องน่ากลัว การเลือกตั้งนั้นแปลก บางครั้งคนเป็นรัฐมนตรีแพ้คนขับรถก็มี ฉะนั้นในหลายพื้นที่ก็เป็นที่ประจักษ์กันอยู่แล้ว ผลการเลือกตั้งจึงสามารถอธิบายได้ว่า การใช้สิทธิของประชาชนในวันเลือกตั้งไม่ได้เลือกคนที่มีฐานะดีกว่า ตนไม่เชื่อว่า การย้ายไปจะส่งผลอะไรต่อทางการเมืองในเรื่องคะแนนเสียง แต่จะส่งผลต่อความเสื่อมศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยมากกว่า
เมื่อถามว่า คนเสื้อแดงจะเอาด้วยหรือไม่หากต้องมาปรองดองกัน นายจตุพร กล่าวว่า นปช.ไม่เคยเรียกร้องอะไรมากกว่าคนอื่น สิ่งที่เรียกร้องมาทั้งหมด แม้แต่วันที่เพื่อไทยเป็นรัฐบาลเราก็ไม่เคยขออะไรมากกว่าคนอื่น แต่สิ่งที่ขอคือความเสมอภาค ความเท่าเทียม ดังนั้น อะไรที่จะเป็นทางออกแล้วไม่กระทบกระเทือนจิตใจกัน ก็จะเป็นทางออกให้กับชาติบ้านเมือง เพราะไม่เช่นนั้นแม้มีการเลือกตั้งก็ไม่จบ ก็จะเป็นปัญหาอีก
เมื่อถามว่า การดำเนินงานของนปช.จากนี้จะเปลี่ยนไปมากหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ก็ยังจะมีการพูดคุย แลกเปลี่ยน แต่ก็ยังประชุมไม่ได้ การดำเนินงานตามแนวทางของ นปช. 7 ข้อ ก็ยังจะดำเนินการตามนั้น
เมื่อถามว่า จะร่วมกิจกรรมกับรัฐบาลได้หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า เรื่องการสร้างความปรองดองนั้น ตั้งแต่มีการยึดอำนาจมา นปช.ให้ความร่วมมือทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นที่กระทรวงกลาโหม กองทัพภาค 1 หอประชุมกองทัพบก ฯลฯ ชวนมาเมื่อไหร่เราก็ไปเมื่อนั้น
นายจตุพร กล่าวว่า ตนพูดเสมอว่า การติดคุก ชีวิต โซ่ตรวน ความตาย ถือเป็นเกียรติยศของคนต่อสู้ ไม่ได้ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องตราหน้า แต่ถือเป็นเกียรติยศของคนที่ร่วมต่อสู้กันมาเพื่อประชาธิปไตย ส่วนจะจัดกิจกรรมอะไรอีกเมื่อไหร่นั้นคงต้องรอดูอีกสักพัก เพราะหากจัดเต็มเมื่อไหร่ เดี๋ยวเพื่อนจะเดือดร้อน แต่ออาจะมีการใช้ช่องทางเฟซบุ๊กไลฟ์เป็นช่องทางสื่อสารเหมือนเดิม
เมื่อถามถึงการพูดคุยกับคนที่เห็นต่าง นายจตุพร กล่าวว่า อย่างที่ตนบอกว่า สีเสื้อนั้นเป็นเพียงเปลือก แต่หลักใหญ่คือจิตวิญญาณ อุดมคติ แนวทางที่เป็นแก่นแท้ สีเสื้อไม่ใช่หลัก แต่จิตวิญญาณต่างหากที่เป็นหลัก
เมื่อถามถึงการพบนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตร และนายสุวิทย์ ทองประเสร็ฐ หรือ อดีตพุทธะอิสระ ในเรือนจำ นายจตุพร กล่าวว่า เราก็พูดคุยกันปกติเรื่องส่วนตัวทั่วไป ก็คุยกันได้ บรรยากาศดี เพราะตนพูดเสมอว่า เราจะต้องคุยกับคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างกับเราได้ ในเมื่อเราจะเรียกตัวเราว่าเป็นนักประชาธิปไตย