‘อียู’ เข้าพบ นคร มาฉิม ที่พิษณุโลก พร้อมยันคำเดิม มีกลุ่มสมคบคิดล้ม ‘รัฐบาลยิ่งลักษณ์’

นคร มาฉิม – วันที่ 6 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้เผยแพร่ จดหมายจาก นคร มาฉิม ต่อ สหภาพยุโรป EU เมื่อดร.โคลิน สไตน์บัค ที่ปรึกษาเอกหัวหน้าฝ่ายการเมืองและข้อมูลข่าวสาร และคัคนางค์ ไกท์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมือง สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ขอเข้าพบที่จังหวัดพิษณุโลกวันนี้ เพื่อขอทราบสถานการณ์ในประเทศไทย

ที่ พิเศษ 909/2561
ณ อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก

6 กันยายน 2561

เรื่อง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย เสนอต่อสหภาพยุโรป EU

เรียน Dr. Colin Stcinbach

ข้าพเจ้านายนคร มาฉิม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก และอดีตประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง สภาผู้แทนราษฎร รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ท่านและคณะ ซึ่งเป็นผู้แทนจากสหภาพยุโรป อันประกอบด้วยประเทศสมาชิก 28 ประเทศ ได้เดินทางมาเยี่ยมเยือนข้าพเจ้าและประชาชนชาวพิษณุโลกและคนไทยทั้งประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และการเมือง รวมทั้งแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและทางออกในระดับภูมิภาคและระดับสากลร่วมกัน

หลังจากที่คณะรัฐประหาร ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พลเอกอนุพงศ์ เผ่าจินดา และบรรดาแม่ทัพทั้งสี่เหล่าทัพคือ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และตำรวจ รวมถึงข้าราชการระดับสูงหลายคน องค์กรอิสระหลายองค์กร เจ้าหน้าที่ด้านยุติธรรมบางส่วน และนักการเมืองบางกลุ่ม ได้สบคบคิดวางแผนสร้างสถานการณ์ แล้วอ้างเป็นเหตุในการยึดอำนาจของประชาชนไปได้สำเร็จเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พวกเขาที่อ้างว่าจะมาสร้างความสงบสุข สร้างความสุข และสร้างความสามัคคีปรองดองให้แก่คนไทยนั้น เมื่อพวกเขายึดอำนาจได้สำเร็จ พวกเขากลับมีแต่สร้างความเดือดร้อนและความทุกข์ยากลำบาก ใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามที่มีความเห็นต่างทางการเมืองอย่างไม่ยุติธรรม ใช้อำนาจหน้าที่อย่างไม่สุจริต ใช้ความรุนแรงปฏิบัติต่อฝ่ายผู้แสวงหาประชาธิปไตย เพื่อไม่ให้ประชาชนกล้าลุกยืนขึ้นเพื่อทวงสิทธิ เสรีภาพ หรือเรียกร้องประชาธิปไตยได้เลย และเพื่อให้คณะของตนปกครองประเทศแบบรัฐทหารและรัฐราชการ โดยให้ประชาชนหวาดกลัวไม่กล้าทวงถามและเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ

นอกจากนี้ พวกเขาได้ร่วมกันตรากฎหมายรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้คุ้มครองสิทธิของประชาชน ไม่เป็นสากล และจำกัดการพัฒนาการของประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านการเมืองโดยประชาชนมิได้มีส่วนร่วมเลย และพวกเขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการสืบทอดอำนาจต่อไปอีกยาวนาน เช่น การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา 250 คน โดยประชาชนคนไทยทั้งประเทศไม่มีสิทธิ์เลือกแม้แต่คนเดียว และสมาชิกวุฒิสภาที่แต่งตั้งเหล่านั้นก็มีสิทธิ์เลือกนายกรัฐมนตรีได้ด้วย และพวกเขาได้วางเป้าหมายสืบทอดอำนาจต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 20 ปี ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติที่เขียนกันเองแล้วยัดเยียดให้คนไทยเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจ ทำลายประชาธิปไตย และทำลายอำนาจของประชาชนตลอดไป

ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างความจริงที่ประชาชนโดยเฉพาะฝ่ายประชาธิปไตยได้ถูกกระทำมาอย่างต่อเนื่องหลายปี ดังนี้

1. ด้านสิทธิมนุษชน

รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติหลายแห่ง เช่น Human Rights Watch, Amnesty International, Thai Alliance for Human Rights เป็นต้น ต่างระบุตรงกันว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ประกันไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนโดยรัฐบาลที่ปล้นอำนาจจากปวงชนนั้น รุนแรง กว้างขวาง และเป็นระบบแทบทุกด้าน โดยพวกเขาใช้ให้ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง กระบวนการยุติธรรม ศาลพิเศษ และศาลทหารร่วมกันดำเนินคดีกับนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย และประชาชนที่ต่อต้านการรัฐประหารและแสวงหาประชาธิปไตย เช่น การดำเนินคดีกับเยาวชนและประชาชนคนอยากเลือกตั้ง การดำเนินคดีกับไผ่ ดาวดิน นักศึกษาที่ได้แสดงความคิดเห็นทางการเมือง การดำเนินคดีกับอดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตยอย่างรวบรัดและเลือกปฏิบัติ ส่วนนักการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายตนจะได้รับการยกเว้นและหาช่องทางช่วยเหลือไม่ได้รับผิดทั้งที่การกระทำเป็นลักษณะเดียวกัน ความอยุติธรรมจึงสร้างความเดือนร้อนความทุกข์ยากและความคับแค้นใจต่อฝ่ายประชาธิปไตยไปทุกหย่อมหญ้า ส่วนเสรีภาพทางการเมือง เสรีภาพทางวิชาการ และเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสาร ได้ถูกปิดกั้นอย่างรุนแรงด้วยการทุ่มงบประมาณมหาศาลในการติดตาม สอดส่อง และปิดกั้นการเข้าถึงซึ่งความคิดอันเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นทรราชย์ของตนเอง และผู้ละเมิดก็จะต้องโทษอย่างรุนแรงด้วยกฎหมายที่ไม่มีความเป็นธรรม และได้นำกฎหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพและกฎหมายควบคุมการเข้าถึงข่าวสารทางอินเตอร์เน็ตที่ตีความได้ครอบจักรวาลมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างดีในการกำจัดศัตรูทางการเมือง ในขณะเดียวกัน คดีความที่เป็นความผิดทางอาญาอย่างชัดเจน เช่น การรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การฉีกรัฐธรรมนูญ การใช้อำนาจโดยมิชอบ การคอรัปชั่นอย่างโจ่งแจ้ง และแม้แต่การสังหารหมู่ประชาชนมือเปล่าโดยใช้อาวุธสงครามเช่นที่เกิดขึ้นในปี 2553 ที่มีผู้เสียชีวิตนับร้อยราย บาดเจ็บเกินสองพันราย และพิการนับครึ่งร้อย กลับไม่ต้องได้รับโทษทัณฑ์ใด ๆ เพราะมีอิทธิพลพิเศษคอยปัดเป่าให้ไม่ต้องได้รับโทษหรือแม้แต่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

2. ด้านการเมืองการปกครอง

เป็นที่ชัดเจนว่า การรัฐประหารเมื่อปี 2557 คือการทำให้การรัฐประหารเมื่อปี 2549 สัมฤทธิ์ผลยิ่งขึ้น นั่นคือ การทำลายรากฐานของฝั่งประชาธิปไตยให้มากที่สุด และสร้างฐานของระบอบเผด็จการให้เข้มแข็งและครบวงจรมากขึ้น ปิดจุดอ่อนและจุดที่ไม่สมบูรณ์ทุกจุด โดยคสช. และเครือข่ายร่วมกันทำให้มีรัฐธรรมนูญที่ทำลายความเข้มแข็งของอำนาจตัวแทนประชาชนและเพิ่มอำนาจที่มาจากการแต่งตั้งให้มีสิทธิในการควบคุมอย่างสมบูรณ์ มีอำนาจตุลาการพิเศษที่สามารถจัดการกับทุกฝ่ายที่แตกแถว มีเครือข่ายอำนาจเดิมทำหน้าที่เป็นสอดส่องควบคุมทุกอณูของกลไกอำนาจ หรือที่เรียกกันว่า Politburo และมีกรอบยุทธศาสตร์ชาติที่เสริมอำนาจรัฐแบบฟาสซิสต์คอยคุมตัวแทนประชาชนทุกแขนง ดังนั้น ผลสรุปคือการบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำลายอำนาจของประชาชน กดให้พรรคการเมืองอ่อนแอ ทำลายนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย เป็นการสร้างอำนาจรัฐที่ขัดต่อหลักการสากล และขาดหลักนิติธรรมมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของไทย และการเลือกตั้งครั้งที่จะเกิดขึ้นไม่ช้านี้ ฝ่ายเผด็จการจะใช้ทุกเครื่องมือ ทุกเครือข่าย ทุกองค์กรเป็นเครื่องมือเพื่อโกงและทุจริตการเลือกตั้งอย่างมโหฬารแน่นอน เพื่อบรรลุเป้าหมายการคงอยู่ในอำนาจตามโครงสร้างใหม่ที่ได้ทำให้แข็งแรงสมบูรณ์แบบที่ได้วางไว้แล้ว

3. ด้านเศรษฐกิจ และสังคม
ทุนศักดินาอำนาจเก่า ร่วมกับนายทุนผูกขาดทั้งในประเทศไทยและจากประเทศจีน ได้มีส่วนสนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลังการรัฐประหารครั้งที่ผ่าน ๆ มา และเมื่อสำเร็จแล้ว พวกเขาจึงได้สิทธิพิเศษ ได้รับสัมปทานต่าง ๆ มากกว่าประชาชนทั่วไป ทำให้พวกเขามั่งคั่งร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นมหาเศรษฐีระดับโลกหลายคน โดยมีทรัพย์สินรวมที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เช่น บริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีสินทรัพย์รวมราว 2000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2551 กลายเป็นมหาเศรษฐีที่มีสินทรัพย์มากถึง 30,000 ล้านเหรียญ ในขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ลำบาก ยากจน มีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้น มีหนี้สินท่วมท้นจนไม่รู้ว่าจนตายไปจะใช้หนี้สินหมดหรือไม่ แม้กระทั่งลูกหลานคนไทยที่กำลังเรียนหนังสือก็มีหนี้สินตั้งแต่เรียนอยู่แล้ว แถมราคาพืชผลทางการเกษตรก็ตกต่ำอย่างไม่น่าเป็นไปได้ และผลลัพย์ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การที่ประเทศไทยติดอันดับสามของโลกในปีที่ผ่านมาด้านความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน เป็นรองแค่รัสเซีย และ อินเดีย

ผลกระทบที่รุนแรงเรื่องปากท้องของประชาชน ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงด้านสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การระบาดของการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การค้าประเวณี และอาชญากรรมต่าง ๆ ในระดับที่น่าเป็นห่วงที่สุดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

4. ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ข้าพเจ้าทราบและมองเห็นโดยตลอดว่า ทางสหภาพยุโรปหลายประเทศ เคารพและให้เกียรติคนไทย ปฏิบัติตามพันธสัญญา ที่จะทำการกดดันให้คณะรัฐประหารชุดนี้ คืนอำนาจให้ประชาชน ให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรี และเป็นธรรม แต่ก็มีมหาอำนาจในสหภาพยุโรปบางประเทศเช่น สหราชอาณาจักร โดยนายกรัฐมนตรีเทริซ่า เมย์ และสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยประธานาธิบดีมาร์คง ได้ยินยอมให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร เข้าพบ โดยมีผลประโยชน์ทางการค้าอย่างใดเป็นที่ทราบกันดี แล้วละเลยต่อความรู้สึกต่อจิตใจของคนไทยที่รักประเทศรักประชาชน รักประชาธิปไตยไป อย่างน่าผิดหวัง ซึ่งวันหนึ่งเมื่อประชาชนและฝ่ายประชาธิปไตยชนะ ฝ่ายเราอาจจะต้องทบทวนสัญญาใดๆ ที่คณะรัฐประหารทำขึ้นภายหลัง

อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นความวิตกกังวลอย่างมากของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ คือดุลอำนาจในภูมิภาคอาเซียนที่เริ่มเปลี่ยนไป หลายธุรกิจ หลายภาคส่วน ถูกมหาอำนาจใหม่ของเอเชีย เข้ามาครอบครอง ครอบงำ และมีอิทธิพลมากเกินไปทำให้ดุลอำนาจระหว่างตะวันออก และตะวันตก เสียไป. เพราะมหาอำนาจใหม่ ซึ่งได้แก่จีน ไม่สนใจ สิทธิมนุษยชน ไม่ได้คำนึงถึง สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และประชาธิปไตย แต่ด้วยทางสหภาพยุโรป และทางโลกตะวันตก เคารพและคำนึงถึงสิทธิ เสรีภาพ และประชาธิปไตย จึงมีการบอยคอตประเทศไทย แต่ก็เสียโอกาสที่จะมาแข่งขันการค้า การลงทุน ในยุคที่เผด็จการครองเมืองอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นการสูญเสียประโยชน์อันพึงมีร่วมกันอย่างเต็มที

ด้วยความจริงดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านพิจารณาดำเนินการดังต่อไปนี้

1. ติดตามและประนามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกรูปแบบในประเทศไทย
2. กดดันให้รัฐบาลเผด็จการทหารไทยเร่งจัดการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด
3. ส่งตัวแทนเข้าร่วมสังเกตุการณ์และตรวจสอบกระบวนการเลือกตั้งและนับผลการเลือกตั้งในประเทศไทยเป็นไปโดยเสรีและเป็นธรรม เพื่อให้ผลการเลือกตั้งสะท้อนเสียงที่แท้จริงของปวงชนชาวไทย
4. ระงับการให้ความร่วมมือและการเจรจาใด ๆ กับรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และรอจนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมก่อนเท่านั้น
5. กดดันให้มีการปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมดโดยเร็ว และหามาตรการใหม่ที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งของคนไทยทุกหมู่เหล่าได้อย่างแท้จริง

ขอแสดงความนับถือ

นายนคร มาฉิม
อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพิษณุโลก
อดีตประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง สภาผู้แทนราษฎร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน