ประชาธิปัตย์ ดักคอ กกต. แบ่งเขตเลือกตั้งให้ดี อย่าเอื้อเพียงพรรคเดียว
เมื่อวันที่ 7 ต.ค.นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการ แบ่งเขตเลือกตั้ง ว่า ขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ได้ออกระเบียบกกต.ว่าด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 และ ประกาศกกต.เรื่องจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี และจำนวนเขตเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ
พร้อมเชิญชวนพรรคการเมืองและประชาชนผู้สนใจแสดงความคิดเห็นต่อรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้ง ระหว่าง วันที่ 4-13 ต.ค.นี้ จัดทำความคิดเห็นเป็นหนังสือยื่นด้วยตนเอง นับเป็นเรื่องที่ดีที่ทาง กกต. เปิดโอกาสให้พรรคการเมือง และประชาชนทั่วไป ได้แสดงความคิดเห็นต่อรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้ง เพื่อให้เขตเลือกตั้ง 350 เขต ทั่วประเทศไทยเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่มีการได้เปรียบ เสียเปรียบกันระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส. พรรคการเมืองต่างๆ ที่จะลงชิงชัยในการเลือกตั้งทั่วไป ที่กำลังจะมีขึ้นเร็วๆนี้
นายองอาจ กล่าวต่อว่า ผ่านมาในอดีต กกต. จะเป็นผู้กำหนดแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งหลายเขตเลือกตั้งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเอื้อประโยชน์ให้นักการเมืองบางคน พรรคการเมืองบางพรรค มาครั้งนี้มีการเปิดโอกาสให้พรรคการเมือง และประชาชนแสดงความคิดเห็นถึงรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้งได้ ก็ทำให้เกิดการรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบคอบ น่าจะช่วยทำให้โปร่งใส เป็นธรรม และลดคำครหานินทาลงได้ เพื่อให้การแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นไปอย่างถูกต้อง
ขอฝากข้อควรพิจารณาให้ กกต. นำไปประกอบการทำงานดังนี้
- ให้เป็นไปตามหลักจำนวนราษฎรและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ตามที่กฎหมายบัญญัติอย่างเหมาะสม
- ไม่เอื้อประโยชน์ให้นักการเมือง พรรคการเมืองใด เป็นการเฉพาะ
- ไม่ทำให้นักการเมือง พรรคการเมืองใด เสียประโยชน์ เป็นการเฉพาะ
- คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม
นายองอาจ กล่าวด้วยว่า ในช่วงที่ผ่านมีข่าวสารปรากฏจำนวนมากว่าการดูด ส.ส. นอกจากมีข้อตกลงแลกเปลี่ยนเรื่องอามิสสินจ้าง ตำแหน่ง หน้าที่ แล้วยังมีเรื่องการช่วยแบ่งเขตเลือกตั้งให้เกิดประโยชน์ กับ นักการเมืองที่ถูกดูดไปด้วย
ดังนั้นกกต. จึงควรแบ่งเขตเลือกตั้งด้วยความรอบคอบระมัดระวัง ถูกต้องเป็นธรนม ไม่ให้ถูกครหานินทาว่ามีการแบ่งเขตเลือกตั้งเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการดูด ส.ส. ของพรรคการเมืองบางพรรคเพราะถ้าเริ่มต้นแบ่งเขตเลือกตั้งแล้วมีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใสก็จะทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อการเลือกตั้งตามมา