“อภิสิทธิ์” ขอย้ำชัดๆ! ประกาศลั่นอีกสักที “ต่อไปนี้ จะไม่เกรงใจใครทั้งนั้น แม้แต่คนในทำเนียบรัฐบาล!”

เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้สมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์หมายเลข 1 ตอบคำถามเรื่องการแข่งขันการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อคนนอกมองเข้ามา เหมือนเป็นความขัดแย้งภายในพรรค ว่า

ภายในพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความขัดแย้ง คนภายนอกส่วนใหญ่มองว่าเป็นกระบวนการที่ต้องหันมาสนใจว่า พรรคการเมืองไทยมีกระบวนการหยั่งเสียงเช่นนี้แล้ว ซึ่งเราสัมผัสได้ หลายคนมาบอกกับตนว่ามีเพื่อนฝูงที่ไม่ได้สนใจพรรคการเมือง แต่เมื่อมีเรื่องนี้ขึ้นมา เขาสนใจ บางคนก็อยากมีส่วนร่วม ถึงขั้นมาสมัครสมาชิกพรรค เพื่อเข้าสู่กระบวนการหยั่งเสียงตรงนี้ นี่คือสิ่งที่เราได้รับการตอบรับ

ส่วนความขัดแย้งเป็นเรื่องของกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเวลามีการแข่งขันก็จะมีนักวิเคราะห์มุ่งเน้นตรงนั้น แต่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าเป็นกระบวนการประชาธิปไตย นี่คือมิติใหม่พรรคการเมือง

เมื่อถามว่า การที่ระบุว่า “อายุ 54 ปี แล้ว ไม่เกรงใจใคร” หมายความว่าอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หมายความอย่างที่พูด เมื่อถามย้ำว่า ที่ผ่านมาเกรงใจอะไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เมื่อตนเข้ามาสู่การเมือง และทำงานการเมืองมาตั้งแต่อายุ 27 ปี การที่จะเดินหน้าทำอะไรเราต้องระมัดระวัง ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะที่มาทำการเมืองเนื่องจากมีความเชื่อและอุดมการณ์ มาพร้อมกับความฝันว่าอยากให้ประเทศไทยเป็นอย่างไร

“การที่เคยได้รับโอกาสมาครั้งหนึ่ง ผมก็ยังมีความเชื่อ อุดมการณ์ และความฝัน ความฝันหลายเรื่องก็ยังทำไม่ได้ ตอนที่เป็นนายกฯครั้งแรกก็เป็นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจของโลกพร้อมสถานการณ์บ้านเมืองปั่นป่วน ผมก็กอบกู้วิกฤตได้ เริ่มต้นบางอย่างได้ แค่ไม่เคยมีโอกาสได้สร้าง วันนี้ผมอาสาตัวเอง เพราะรู้ว่าอายุเท่านี้แล้ว เข้ามาเล่นการเมืองต้องการสร้างฝันให้เป็นจริง ผมไม่มีเวลาอีกแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ผมว่าไม่มีเรื่องอะไรที่เล็กเกินไปแล้ว อยากให้อะไรเกิดขึ้นผมต้องทำ ไม่มีอะไรลังเลใจอีกต่อไป และไม่ต้องเกรงใจใคร เพราะนี่คือโอกาสใหม่ เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้ผมผลักดันสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นให้ได้” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

เมื่อถามว่า ที่บอกว่าไม่เกรงใจใคร มีนัยยะ ส่งสัญญาณถึงคนในทำเนียบหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่เกรงใจใครทั้งนั้น เมื่อถามย้ำว่า ที่ผ่านมาทำอะไรไม่ได้เพราะเกรงใจใครใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวย้ำว่า ตนบอกว่าเรามีข้อจำกัดอย่างที่ยกตัวอย่างการเป็นรัฐบาลครั้งที่แล้ว ทุกคนต้องเรียนรู้และตนก็ไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้ อย่างที่ประกาศไปว่า ตนไม่เกรงใจใครก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ตนได้มาทบทวน เพราะวันนี้เป็นอีกสถานการณ์หนึ่งแล้ว บ้านเมืองต้องหลุดพ้นจากจุดนี้ไปให้ได้ ถ้าไม่ทำครั้งนี้ ก็มีโอกาสสูงมากติดหล่มไปอีกนาน

เมื่อถามถึงจุดแข็งที่จะได้โอกาสกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นธรรมดาที่นักการเมืองมีคนชอบ หรือไม่ชอบ แต่ประวัติของตนยืนยันได้ว่าที่ทำไปมีผลประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน เชื่อว่าทุกคนคงเห็นความทุ่มเท ความไม่หยุดนิ่งทำให้ตนมีความพร้อมในการที่จะนำพาบ้านเมืองออกจากปัญหาทั้งหมด

เมื่อถามว่ามีการวิเคราะห์ถึงการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องของอุดมการณ์ด้วย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องถามผู้สมัครท่านอื่น ว่ามีแนวทางการเมืองของพรรคอย่างไร แต่ตนชัดเจนว่าอุดมการณ์ของพรรคที่ผู้ก่อตั้งประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2489 จะปฏิบัติอย่างจริงจัง และเดินหน้าประเทศไปให้ได้

เมื่อถามย้ำว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะชี้ชะตาว่าพรรคประชาธิปัตย์จะร่วมกับ คสช.หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าคงต้องไปถามผู้สมัครท่านอื่น เพราะสำหรับตนคำถามแบบนี้ไม่ควรมาถามพรรคประชาธิปัตย์ แต่ควรจะไปถามคนอื่นว่าจะมาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์สร้างบ้านเมืองหรือไม่

“ถ้าเกิดใครก็ตามยังคิดว่าหน้าที่พรรคประชาธิปัตย์ คือจะไปช่วยใคร หรือไปร่วมกับใคร จะไปเป็นรัฐบาล แต่ไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า ที่จะไปร่วม ที่จะไปเป็นรัฐบาลจะไปทำอะไร และความคิดความเชื่อ อุดมการณ์คืออะไร ก็ไม่เป็นประโยชน์กับพรรคและประเทศ ผมยืนยันว่า การเป็นทางหลักคือ เราเป็นตัวของตัวเอง มีความชัดเจนในจุดยืน ยืนยันว่าเราไม่ใช่พรรคอะไหล่ให้ใครทั้งนั้น แต่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเป็นพรรคการเมืองหลัก มีความตรงไปตรงมา มีความก้าวหน้าในระบบพรรคการเมืองมากกว่าพรรคอื่น” นายอภิสิทธิ์กล่าว

เมื่อถามว่า หมายความว่าจะเป็นแกนนำจัดตั้งในการจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น โดยไม่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะเป็นอะไรหรือไม่ อยู่ที่ประชาชนจะเลือกหรือไม่ แต่จุดยืนชัดเจนว่าเราอาสาและพร้อมจะเป็นทางหลักของประเทศ

เมื่อถามว่าถึงการที่ กรธ.ร่างกฎหมาย ไม่อยากให้พรรคการเมืองใหญ่ขึ้น แต่มีบางพรรคการเมืองยังไปตั้งนอมินีพรรคขึ้นมา นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ใครจะออกแบบระบบอย่างไร และใครจะใช่เล่ห์กลอย่างไรก็ตาม ตนอยากบอกว่าประชาชนเท่านั้นจะเป็นคนชี้ว่าใครจะใหญ่หรือไม่ใหญ่

ส่วนกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่า อดีตส.ส.จะไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือตั้งพรรคนอมินีก็ไม่มีความผิดนั้น เป็นหน้าที่ของกกต.ที่รักษาการตามกฎหมาย ก็ต้องไปดูว่ามีคนทำผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะกฎหมายมีเจตนารมณ์ห้ามพรรคการเมืองฮั้วกัน และยืนยันว่าในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีการแตกแยกเป็นสาขาเป็นนอมินีใดๆ ทั้งสิ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน