ภูมิธรรม เวชยชัย มั่นใจฝ่ายประชาธิปไตยชนะ

สัมภาษณ์พิเศษหมายเหตุสัมภาษณ์พิเศษ นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ถึงสถานการณ์การเมืองภายใต้การต่อสู้ระหว่างขั้วประชาธิปไตยกับฝ่ายสนับสนุน รัฐบาลคสช. การเลือกตั้งที่มีข้อจำกัดทั้งอำนาจรัฐและอำนาจตามมาตรา 44 รวมถึงรัฐบาลใหม่ที่เกิดขึ้นจะเดินหน้าทำงานได้หรือไม่เพราะมียุทธศาสตร์ ชาติและแผนปฏิรูปคอยควบคุม

แนวโน้มภาพรวมการเมืองในปีนี้ จะเป็นการเมืองที่ประชาชนต้องตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่ง จะตัดสินอนาคตและประเทศโดยรวม เรากำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญที่จะพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าประชาชนลุกขึ้นมาใช้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นอาวุธสำคัญ สะท้อนเจตนารมณ์ว่าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางใด การเมืองก็จะไปในทิศทางที่มันดีขึ้น

แต่ถ้าเราไม่สามารถฝ่าฟันอุปสรรค ปล่อยให้อำนาจพิเศษใช้อำนาจของตัวเอง เคลื่อนทุกกลไกของสังคมมาครอบงำ การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น การเมืองในปีนี้จะเดินเข้าสู่หนทางที่ตีบตันและมืดมน ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ที่จะ บอกว่าอนาคตของสังคมไทยจะเดินไปในทิศทางไหน จะปลดปล่อยตัวเองออกจากกรอบกติกาที่ฝ่ายผู้มีอำนาจพยายาม วางไว้ เพื่อก้าวสู่สังคมที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น หรือจะ จมดิ่งลงไปกับระบบอำนาจนิยม และทำให้เรามีปัญหาในอนาคต

พรรคเพื่อไทยปรับกลยุทธ์ต่อสู้อย่างไร ในการเลือกตั้งภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ

การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญมาก ภายใต้บรรยากาศที่ฝ่ายผู้มีอำนาจหรือรัฐบาลมีอำนาจล้นพ้น ทั้งกลไกอำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ทั้งการควบคุมกลไกของรัฐทั้งระบบ ทั้งความสามารถไม่ต้องเป็นรัฐบาลรักษาการช่วงเลือกตั้ง สามารถใช้ทรัพยากรและเงินในอนาคตทั้งหมดได้ในการดำเนินการ เป็นการเลือกตั้งที่ฝ่ายผู้อำนาจมีกลไกการควบคุมกระบวนการต่างๆ อย่างเต็มที่

การต่อสู้เพื่อจะให้หลุดพ้นสิ่งเหล่านั้น ได้ก็คือ อำนาจของประชาชน ดังนั้น ประชาชนต้องคิดไตร่ตรองให้ดีว่าการหย่อนบัตรครั้งนี้สำคัญที่สุด อยากฝากโจทย์ว่าประชาชนจะใช้โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทิศทางที่ ต้องการ จะป้องกันการดำเนินการที่ผิดแผกแตกต่างจากระบบที่ควรจะเป็นแล้วทำให้การ เลือกตั้งเสรีเป็นธรรม เปลี่ยนแปลงประเทศได้ เปลี่ยนแปลงชีวิตที่อยากได้ต้องใช้ศักยภาพและความตั้งใจของตัวเองอย่างเต็ม ที่

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งที่ดี พรรคการเมืองควรได้รับโอกาสให้พูดได้เต็มที่ ทั้งความคิด ความเชื่อ เพื่อหาทางแก้ปัญหาให้ประชาชนได้มากที่สุด ไม่ใช่ทำงานแบบจำกัด ผมเห็นว่า 4-5 ปีมานี้รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะไม่เข้าใจกระบวนการทำงานที่เป็นจริง ไม่เข้าใจความเป็นจริงของปัญหา ไม่เข้าใจวิธีการระดมทรัพยากรต่างๆ มาแก้ปัญหา จึงยังไม่เห็นการแก้ไขปัญหาที่บรรลุความต้องการของประชาชนได้

รัฐมนตรีบางคนจึงออกมาพูดว่า คนจะอดตายกันหมดแล้ว เป็นผลจากความล้มเหลวของเศรษฐกิจที่ตัวเองบริหาร ทางออกเลยกลายเป็นการเอาเงินด่วนที่มีการกล่าวหากันว่าเป็นเงินประชานิยมมา ซื้อเสียง เสมือนไปดึงความนิยมจากประชาชน ซึ่งไม่ถูกต้อง

ผมไม่เคยปฏิเสธการใช้เงินเพื่อแก้ปัญหาสภาพ ความยากลำบาก หรือความเดือดร้อนของประชาชน ในการบริหารราชการแผ่นดิน การใช้ทรัพยากรที่มีคุณค่าไปใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้กับประชาชนถือเป็นความ จำเป็น แต่ต้องใช้กับปัญหาเฉพาะหน้า ตั้งอยู่บนพื้นฐานสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชน สามารถปูพื้นฐานแก้ปัญหาให้กับประชาชนในระยะยาว ไม่ใช่คิดอยากจะเติมเงินเท่านั้นเท่านี้เพื่อแก้ปัญหา การไปนำเงินอนาคตมาใช้กับปัจจุบันเกินความเหมาะสมพอดี จะสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะงบลงทุนในโครงการใหม่ๆ

การเลือกตั้งครั้งนี้ชัดเจนว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย และฝ่ายที่หนุน พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ให้อยู่ต่อ

การต่อสู้ครั้งนี้ หากจะพูดถึงประชาธิปไตยกับเผด็จการ จะดูเป็นนามธรรมเกินไป ผมมองว่าชีวิตที่เป็นอยู่ของประชาชนจะเป็นแบบเดิม หรือจะเปลี่ยนแปลงเป็นแบบใหม่ นั่นหมายความว่าประชาชนจะตอบโจทย์กับสิ่งที่เผชิญอยู่ในปัจจุบัน หากเห็นว่าที่เป็นอยู่แบบเดิมดีแล้ว เหมาะสมแล้ว เขาก็เลือกแบบเดิม เลือกรัฐบาลเดิม แต่หากชีวิตที่เป็นอยู่วันนี้แย่อับจนหนทาง ล้าหลังถดถอย ไม่เห็นอนาคต เขาก็คงอยากเลือกรัฐบาลใหม่ที่มีความหวังกว่า สร้างการเปลี่ยนแปลงต่างๆให้กับเขาได้

ชีวิตแบบเดิมมาจากรัฐบาลอำนาจพิเศษที่มาจาก รัฐประหาร มีทหารเข้ามาควบคุมการปฏิบัติงาน กับรัฐบาลแบบใหม่ ซึ่งกำลังเสนอตัวยึดมั่นในกลไกระบอบประชาธิปไตย และเชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเปิดโอกาส เปิดสิทธิเสรีภาพของคนให้มีอิสระ ซึ่งก็คือฝ่ายฝักใฝ่ประชาธิปไตย ดังนั้น จะเป็นการต่อสู้อยู่ 2 ฝ่าย

ผมเชื่อว่าที่ผ่านมา 5 ปีได้พิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลนี้ล้มเหลว ภาพความเหลื่อมล้ำสูงติดอันดับโลก แสดงว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลผิดทางใช่หรือไม่ รัฐบาลประกาศว่าจีดีพีสูงขึ้น แต่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกของประชาชนที่ไม่มีเงินในกระเป๋า กำลังซื้อถดถอย รัฐบาลพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมแต่ไม่ได้พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง ปัญหาคือใช้งบหลวงช่วยคนรวยโดยผ่านมือคนจน โครงการต่างๆ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เอาเงินผ่านคนจนไปเข้าบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้ผลิตและกระจายสินค้า ดังนั้น คนที่ได้ประโยชน์เป็นคนไม่กี่เปอร์เซ็นต์

วันนี้ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกอัตคัดแร้นแค้น เศรษฐกิจถดถอย รัฐบาลมีอำนาจพิเศษและไม่มีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลที่ดีพอ จิตวิญญาณของการตรวจสอบถ่วงดุลในสภาหายไป ทั้งที่การใช้อำนาจต้องมีการตรวจสอบ ไม่ให้เกิดทุจริต

ปัญหาทั้งหมดคือ ประชาชนจะเลือกชีวิตที่ดีขึ้น หรือชีวิตที่เป็นอยู่แบบเดิม สิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอ คือการจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก ทำให้เศรษฐกิจกระจายตัว สร้างรายได้ให้กับประชาชนทุกกลุ่มวิชาชีพให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจใน ระบบให้กว้างขวางมากขึ้น นำเทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นคุณ มาเสริมกำลังการผลิต เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้

สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อสังคมเป็น ประชาธิปไตย ที่จริงความสงบและความมั่นคงที่จะเกิดขึ้น ต้องเป็นความสงบและความมั่นคงที่มีความหวัง ไม่ใช่การกดให้คนอยู่กับที่เท่านั้น ความคิดที่เห็นต่างคือต้นทุนในการพัฒนาของสังคม เกิดการแสวงหาช่องทางใหม่ๆ เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ดังนั้น วิธีคิดของผู้นำปัจจุบันต้องปรับเปลี่ยนหลายอย่าง ความคิดของผู้นำอาจจะมีความคิดแบบทหาร ซึ่งความคิดทหารแบบการรบควรใช้ดูแลป้องกันประเทศ ไม่ใช่นำมาใช้กับการพัฒนามนุษย์ พัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งต้องการความเข้าใจและความเชี่ยวชาญ ต่างจากการรบและการใช้กำลัง

รัฐบาลปัจจุบันบริหารงานล้มเหลว แสดงว่าพรรคฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะการเลือกตั้ง

มั่นใจว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะมีชัยชนะบนพื้น ฐานที่รู้สึกว่า 4-5 ปีที่ผ่านมาคนอยากเปลี่ยนแปลง เพราะชีวิตที่เป็นอยู่ไม่ได้ดีขึ้น คนอาจพอใจในช่วงแรกที่บ้านเมืองสงบ แต่ความสงบไม่ได้ให้ความหวังควบคู่กับชีวิตทางเศรษฐกิจ การทำมาหากินถูกจำกัด เกิดสภาพคับข้องอึดอัด ขณะที่สังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมเปิด คนสามารถแสวงหาสิ่งใหม่ๆ ได้ คนใช้ช่องทางและเสรีภาพหาชีวิตที่ดีขึ้นได้

เมื่อเปิดให้มีการเลือกตั้ง จึงเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะเลือกวิถีทางประชาธิปไตย วิถีทางที่เขามีอิสระที่จะคิดจะทำ หาช่องทางใหม่ๆ ในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาได้ แต่มีสิ่งที่ประชาชนต้องพึงสังวรไว้ว่า การเลือกตั้งในปัจจุบันไม่ใช่แค่อยากอยู่แบบเดิมหรืออยากเปลี่ยนแปลง เท่านั้น ยังมีปัญหาการใช้อำนาจรัฐที่เกินขอบเขต การใช้อำนาจรัฐแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งคนทั่วไปมองด้วยความไม่สบายใจ หลายข่าวที่ออกมาไม่ดีทั้งสิ้น

ฉะนั้น หากปล่อยให้เกิดการเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม ให้คนกลางเข้ามาสังเกตการณ์เพื่อให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุด เชื่อว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะมีโอกาสได้รับการยอมรับจากประชาชนให้เป็นทางเลือก ที่จะกำหนดชีวิตของพวกเขามากที่สุด

รัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะอยู่ได้นานเท่าไร เพราะยังถูกกำกับโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ

ตรงนี้ป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย เมื่อเรามีการเปลี่ยนแปลงโดยคณะรัฐประหารปี 2557 เรามีต้นทุนที่จ่ายแพงมาก เพราะคณะรัฐประหารได้เข้ามากำหนดปรับเปลี่ยนกฎกติกาที่มีอยู่ ทั้งรัฐธรรมนูญ กฎเกณฑ์ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทุกอย่างถูกกำหนดไว้ค่อนข้างมาก เราได้จ่ายผลของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ด้วยต้นทุนที่แพง การจะแก้ไขปัญหาในอนาคต ทั้งรัฐธรรมนูญ หรือการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ดี รัฐบาลใหม่ที่ได้มาหากไม่เป็นไปตามกรอบกติกาที่วางไว้ คงต้องเผชิญกับอำนาจพิเศษหนักหนาสาหัสเหมือนกัน

แต่ผมยังเชื่อมั่นในอำนาจของประชาชน ผมเชื่อว่าท้ายที่สุดสังคมประเทศนี้จะอยู่ร่วมกันได้เมื่อคนในสังคมเห็นพ้อง ต้องกัน ให้การยอมรับและสนับสนุน ดังนั้น ถ้าเราสามารถพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่ากติกาที่วางไว้ในปัจจุบัน ไม่ใช่หนทางที่จะพาเขาออกจากหลุมพรางหรือหลุมดำ ออกจากสภาพอับจนที่เขาเผชิญอยู่ เชื่อว่าเมื่อถึงที่สุดแล้วเราสามารถสร้างการตระหนักรู้ให้กับประชาชนและ เข้ามามีส่วนร่วม เชื่อว่าปัญหาจะแก้ไขได้ รัฐบาลใหม่ยังมีโอกาสฟื้นฟู เปลี่ยนแปลงกฎกติกาที่เป็นอุปสรรคของประเทศ

การเลือกตั้งครั้งนี้จุดสำคัญอยู่ที่อำนาจของประชาชน ใช้ปากกาของตัวเองจัดระบบสังคมไทยให้เข้าที่เข้าทาง ให้สิ่งแปลกปลอม อำนาจพิเศษทั้งหลายกลับเข้าสู่ที่ตั้ง และให้ประชาชนมีบทบาทมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางอนาคตของประเทศ ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ ประชาชนต้องออกมาใช้สิทธิ์ให้มาก และเป็นตาสับปะรด คอยตรวจสอบความยุติธรรมในการเลือกตั้ง ให้เกิดความเป็นธรรม เสรี

จะเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายเหมือนในช่วงปี 2553 หรือไม่

ความวุ่นวายไม่เคยเกิดขึ้นจากฝ่ายประชาชน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเราไม่เคยเป็นเงื่อนไข ไม่เคยสร้างเงื่อนไขให้เกิดความวุ่นวาย แต่ความวุ่นวายในสังคมไทยสามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วพริบตาเดียวหากฝ่ายผู้มี อำนาจอยากให้มันเกิดขึ้น ดังนั้น สื่อมวลชน พี่น้องประชาชนต้องทำให้สังคมรู้ว่าประเทศบอบช้ำเพียงใด และไม่มีเวลาปล่อยให้ประเทศบอบช้ำไปมากกว่านี้ ทุกฝ่ายต้องเข้ามา หากไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิด ก็ไม่มีใครกล้าทำให้มันเกิดขึ้นได้

เชื่อว่าความวุ่นวายจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ เหมือนในอดีต ยกเว้นมีใครปรารถนาที่จะสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเหมือนกับในอดีต

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน