นักวิชาการ วิเคราะห์ การเมืองหลังเลือกตั้ง ยังมีหลายปัญหา หวั่นสื่อปลุกระดม ซ้ำรอย 6 ตุลาฯ

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 5 เม.ย. ที่อาคารเรียนรวมกลุ่มสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จัดงานวันสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2562 พร้อมจัดเสวนา หัวข้อ “อนาคตการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง”

ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การเมืองไทยหลังเลือกตั้ง ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด แต่ต้องรู้ผลการเลือกตั้งก่อน เพราะสูตรคำนวณขณะนี้มีสองสูตร

โดยสูตรแรกมีถึง 27 พรรค และอีกสูตรมี 16 พรรคเท่านั้น ทั้งนี้ ระบบการเลือกตั้งได้นำเอาระบบ ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง มาคิดเป็นที่นั่ง ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ดังนั้น ถือเป็นครั้งแรกที่เลือกตั้งแล้วไม่รู้จำนวน ส.ส.ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ เห็นได้จากผลคำนวณบางสื่อ 6 พรรคร่วมรวมได้ 253 เสียง ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ และอีกซีกรวมได้ 123 เสียง

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีผลมากถ้าใช้สูตรของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) อาทิ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ จะเหลือเพียง 246ที่นั่ง ผลลัพธ์พรรคไม่ประกาศจุดยืนหากร่วมกับพรรคพลังประชารัฐจะกลับขึ้นมาทันที

ซึ่งเมื่อดูพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 และรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 เขียนเพียงหลักการในเรื่องของการปัดเศษอยู่ในกฎหมายประกอบ

ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวต่อว่า โดยเฉพาะใน (4) และ (5) รวมถึง (7) ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญเลือกตั้ง ส.ส. เพราะการตีความมีผลแตกต่างกันมาก และในขณะนี้ คนเป็นนายกฯได้มีเพียง 7 พรรค ดังนั้น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตีความตาม กรธ.เสนอมา ดังนั้น ภาพรวม กกต. ต้องระมัดระวัง ต้องทำหน้าที่ให้เกิดความเที่ยงธรรม

ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้มีคำถาม กกต.หนักหน่วง อย่างไรก็ดี หากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกฯอีกครั้ง หลังจากนั้นอาจมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าเป็น เพราะกินเงินเดือน และใช้อำนาจรัฐ

ส่วนหากเป็นพรรคเพื่อไทย อาจมีปัญหาเรื่องทักษิณ ส่วนพรรคอนาคตใหม่ก็มีแรงเสียดทาน และพรรคประชาธิปัตย์เป็นเรื่องของการแตกเป็น 2 ฝ่าย จะเห็นหลังการเลือกตั้งก็ยังมีปัญหา

ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวต่อว่า สำหรับกติกาในการเลือกนายกฯ ต้องเลือกในที่ประชุมรัฐสภา โดยใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา คือ 375 เสียง ซึ่งสูตรการคำนวณ ส.ส. จะมีผลเป็นอย่างมาก ซึ่งมี 4 แนวทาง คือ 1.พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ

โดยมีเสียงไม่ถึง 250 เสียง แล้วไปหางูเห่าเอาข้างหน้า 2.ส.ส. ไม่ถึง 250 เสียง จึงให้เลือกนายกฯใหม่ไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นนายกฯ ต่อไปในฐานะหัวหน้า คสช.

3.ส.ส. สามารถรวบรวมเสียงได้ 376 เสียง โดยเลือกนายกฯจากคนที่ทุกฝ่ายยอมรับ กรณีนี้อาจมีบางพรรคโหวตให้โดยไม่ร่วมรัฐบาล และ4.การเป็นนายกฯคนนอกต้องใช้เสียง 500 เสียง จึงน่าจะเป็นกรณีที่ทุกหนทางใช้ไม่ได้แล้วเท่านั้น

ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวว่า กกต.มีอำนาจในการประกาศผล ตนเห็นว่าควรประกาศให้ครบทั้ง 500 คน เพราะหากประกาศเพียง 95 เปอร์เซ็นต์ หรือ 475 คน กรณี 25 คนที่ไม่ประกาศ เป็นคนของข้างหนึ่งข้างใดจะทำให้การโหวตนายกฯหมิ่นเหม่

ทางที่ดีจึงควรประกาศให้ครบ 100%หากมีปัญหาค่อยร้องศาลฎีกา เชื่อว่าการเมืองยังมีทางไปได้ยังไม่ตาย แต่แพ้ชนะขอให้เป็นไปตามกติกา ทุกฝ่ายเคารพเสียงของผู้อื่น ที่สำคัญการคำนวณสูตรส.ส. ต้องคำนวณตามเจตนารมณ์ของประชาชน

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ขณะที่ ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากปัญหาการคิดคำนวณหาจำนวนส.ส. ส่วนตัวเห็นควรให้ตั้งคณะกรรมกลางขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาเดทร็อกในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งการเลือกตั้งรอบนี้เปรียบได้ดั่ง ไทยBrexit ในการโหวตสหภาพยุโรปออกจากอังกฤษ

และหากให้เทียบก็เหมือน 14 ตุลาคม 2516 ยุค 4.0 ซึ่งขับเคลื่อนด้วยคนรุ่นใหม่ โดยต้องยอมรับว่ามีพลัง เหมือนกับปรากฏการณ์อาหรับสปริง ถ้าเอากรุงเทพมาเทียบกับกรุงไคโร จะคล้ายกัน คือ คนรุ่นใหม่ต่อสู้ โดยใช้เครื่องมือชุดใหม่ ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค และยูทูป สู้กับรัฐบาลทหาร บริบทเปิดพื้นที่ใหม่การเมืองเป็นไซเบอร์

“เราจะเห็นกทม. คนรุ่นใหม่ นำไปสู่การเมืองคนรุ่นใหม่ แม้จะไม่ถึงอาหรับสปริง แต่พอเทียบกันได้ ผมเห็นกระแสชุดหนึ่ง คือ กระแสเหลืองแดงที่เคยกังวล ตกลง คสช. ทำให้หายไปหรือไม่ คสช.เปลี่ยนผ่านเลยไป กระแสทักษิณแผ่วลง

สิ่งที่เห็นการเมืองจากนี้น่าคิดต่อ ทั้งหมดหวนกลับมาสู่การออกแบบการเมือง สถาปนิก คสช. คิดเยอะ แต่ลืมเรื่องใหญ่ การออกแบบแล้วหยุดนิ่ง แต่การเมืองมีตัวแสดงใหม่เข้ามาเล่นโดยคนรุ่นใหม่” ศ.ดร.สุรชาติ

ศ.ดร.สุรชาติ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญถ้าสู่ตามกติกาปกติ จะพูดรัฐบาลใหม่หน้าตาทิศทางเป็นอย่างไร แต่ครั้งนี้ตัวเลขเป็นปมต่อไม่ได้ สถาปนิกที่ออกแบบ รวมถึงโพล นักวิชาการ ตกม้าตาย เหมือนตอนเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ทุกคนคิดว่า ฮิลลารี่ คลินตัน จะชนะ โดนัล ทรัมป์ แต่ไม่ใช่

นอกจากนี้ ทั้งหมดออกแบบมาเพื่อให้มีปัญหาหรือเปล่า และคนที่รับบาปชุดใหญ่สุด คือ กกต. แพะรับบาป บูชายัน ล้มเลือกตั้งใหม่ เพราะเห็นบางพื้นที่แล้ว เพราะการเลือกตั้งเสรีเป็นธรรม ต้องมีประสิทธิภาพมากกว่านี้

ส่วนความเข้มข้นการเมือง กองทัพไม่เคยพูดอะไรเลือกตั้งหรือผลยังไม่ออก แต่ครั้งนี้มาพูดถึง 4 ประเด็น หมายถึงทหารเสนอตัวเป็นผู้จัดการทางการเมืองหรือไม่

“ทหารกับการเมืองเป็นอะไรที่ต้องคิด สื่อญี่ปุ่นบอกเป็นชัยชนะ คือ ทหาร แต่เป็นชัยชนะเปราะบางและน่ากังวล ในระยะเวลาไม่นานที่ผ่านมา เห็นการปลุกกระแสขวาจัด

มีคนถามเหมือนตุลาฯ 19 หรือไม่ ผมบอกว่าคล้าย บางคนดาวสยาม บางสถานียานเกราะ จึงไม่อยากเห็น 6 ตุลาฯ อีกรอบ กระแส 6 ตุลาฯ ยุคดิจิตอล สัญญาณนี้ไม่เป็นบวกกับสังคมไทย” ศ.ดร.สุรชาติ กล่าว

ศ.ดร.สุรชาติ กล่าวว่า วันนี้ทุกพรรคสู่ประชานิยมกันหมด น่าคิดว่าอนาคตไทยสังคมจะตอบรับหรือต่อต้านประชานิยม เพราะบางพรรคต่อต้านแต่กลับทำมากกว่าที่คิด สุดท้ายคิดว่าโจทย์ทั้งหมด น่ากลัว สภาวะเดาและคาดไม่ได้ เรื่องเดียวคือคำนวณ หากไม่ผ่านด่านนี้ตั้งรัฐบาล เปิดสภาไม่ได้ ประเทศจะเอาอย่างไร

ศ.ดร.สุรชาติ ย้ำด้วยว่า การเมืองไทยอยู่ในสภาวะปัญหาเสถียรภาพ และความไม่แน่นอน อีกทั้ง โลกล้อมประเทศไทย เพราะเป็นประธานอาเซียน จึงไม่อยากเห็นนายกฯในฐานะประธานอาเซียนมาจากรัฐประหาร

วันนี้ไซเบอร์ใหญ่มาก และน่าสนใจเพราะเอาการเมือง ความมั่นคง ใส่เข้าไปด้วย ขณะเดียวกัน ภายใต้ประชาธิปไตย ทหารเป็นกลไกรัฐ ไม่ใช่รัฐ โจทย์เรียกร้องที่เป็นกระแส คือ ปฏิรูปกองทัพ

กระแสจะอยู่ และเมื่อคนรุ่นใหม่ไม่อยากเกณฑ์ทหาร จะเอาด้วย และรูปแบบกองทัพอนาคตจะออกแบบอย่างไร ถ้าเชื่อว่าการเมืองตัน แต่ระบบสภาไม่ตัน มีคนเชื่อว่าทหารต้องล้างท่อ ต้องก้าวข้ามชุดความคิดนี้

ด้าน นายวุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า สิ่งที่ห่วงหลังการเลือกตั้ง คือ วิกฤตคำว่าถูกกติกาแต่ไม่ชอบธรรม เช่น ส.ว. 250 คน เลือกนายกฯได้ แม้จะเป็นกติกาที่ถูกต้อง แต่คนจะรู้สึกว่าไม่ชอบธรรม

การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลความขัดแย้งเชิงชุดความคิดของคนในสังคม ถ้าจะทำให้การเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา เป็นที่ยอมรับ การเลือกตั้งต้องเสรีและเป็นธรรม ซึ่ง กกต. ต้องทำให้เป็นที่ยอมรับได้ แต่บังเอิญว่ากระบวนการตรงนี้มีปัญหา

“วันนี้พอมีปัญหาเรื่องผลลัพธ์ จึงเป็นห่วงว่าหลักนิติรัฐ และหลักนิติธรรม ของสังคมกำลังถูกสั่นคลอน สิ่งหนึ่งที่เราต้องเคารพ คือ เกมนี้เป็นเกมของการเมือง และการเมืองเป็นไปได้ทุกอย่าง นอกจากนี้ ระหว่างการเลือกตั้งมีข้อโต้แย้งหรือบางคนเรียกว่าวาทกรรม

ผมคาดหวังว่าเมื่อการเลือกตั้งจบ วาทกรรมน่าจะจบ แต่ปรากฏว่าวาทกรรมยังรุนแรง เป็นการใช้ข้อเท็จจริงบวกอารมณ์ ทำให้น่าเป็นห่วงว่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ที่จะเกิดความรุนแรงหรือไม่” นายวุฒิสาร กล่าว

นายวุฒิสาร กล่าวว่า เชื่อว่าปัญหาควรจบที่ศาลและกติกาจะดีที่สุด คุณสมบัติของสังคมประชาธิปไตย คือ ความอดทน น่าแปลกกว่า 4 ปีที่แล้ว ตั้งคำถามกับมาตรา 44 แต่ 2 – 3 ปีหลัง หน่วยงานจำนวนมากทำอะไรไม่ได้ ให้ออกมาตรา 44 เพื่อความรวดเร็ว

ซึ่งในสังคมประชาธิปไตยจะใช้แบบนี้ไม่ได้ ต้องเคารพในการตรวจสอบและความเห็นต่าง เพราะหลังการเลือกตั้งไม่ว่าใครเป็นนายกฯด้วยสูตรแบบไหน ต้องเคารพให้ทำงาน และประชาชนเฝ้าดู

“เราต้องหยุดสิ่งเร่งเร้าที่ทำให้เกิดขึ้นในสังคม วันนี้ตัวเร่ง คือไซเบอร์ เป็นความอันตราย และความเสี่ยงของสังคม จึงคาดหวังว่าไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล เราต้องยอมรับปล่อยให้กลไกรัฐสภาเดินหน้า

ขณะเดียวกันสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชนต้องได้รับความคุ้มครอง กลไกการตรวจสอบต้องทำงาน เมื่อมีรัฐบาลแล้ว ระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสังคมต้องถูกแก้ การแก้ความเหลื่อมล้ำต้องเกิดขึ้นจริง” นายวุฒิสาร กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน