อดีต กกต. เปิดสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ ได้ 14 พรรค ยอมรับ แตกต่างจากสูตรของกกต. ที่ได้ 25 พรรค จ่อ ทำเล่มส่งให้ กกต. สัปดาห์หน้า ย้ำ ให้ทำตามกม.

กกต. – เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 8 เม.ย. ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตผู้สมัครส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงเปิดสูตรคำนวณส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ว่า สิ่งที่ตนนำเสนอเป็นการทดลองใช้ในความรู้ทางนิติศาสตร์ และคณิตศาสตร์ และต้องบอกว่ากระบวนการความคิดที่อ้างอิงนั้นอิงกฎหมาย 2 ฉบับ คือ รัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ซึ่งถือเป็นต้นแบบของการคิดส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ โดยวันนี้ต้องอาศัยรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการคำนวณ ส่วนกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจะเป็นขั้นตอนที่จะบอกว่าจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งการคำนวณในวันนี้ตนเชื่อว่าคำนวณได้ถูกต้อง แต่ตนไม่ได้เป็นคนตัดสิน เพราะคนที่ตัดสินทั้งหมดคือ กกต. ว่าจะเชื่อใครที่เสนอสูตรต่างๆ ฉะนั้นวันนี้ถือว่าเป็นการสอนหนังสือ

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

โดยการคำนวณก็จะนำคะแนนรวมของพรรคการเมืองทุกพรรคที่ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อได้รับจากการเลือกตั้งแบบเขตทั้งประเทศ คือ 35,528,749 หารด้วย 500 ก็จะเท่ากับ 71,057.4980 ที่ได้ตัวเลขนี้เนื่องจากพรรคท้องถิ่นไทย พรรครักธรรม และพรรคอนาคตไทย ไม่ส่งผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ดังนั้นจึงต้องลบตัวเลขในส่วนนี้ออกไป จากนั้นให้นำผลลัพธ์ดังกล่าวไปหารคะแนนรวมทั้งประเทศของพรรคการเมืองแต่ละพรรคที่ได้รับจากการเลือกตั้งแบบเขตทุกเขต ซึ่งจะกลายเป็นคะแนนเบื้องต้นที่พึงจะมี ซึ่งก็เท่ากับว่าจะมีพรรคการเมืองที่จะมีส.ส.เบื้องต้น 1 ที่นั่งเป็นต้นไปมีจำนวน 16 พรรค พรรคแรกคือ พรรคพลังประชารัฐคือได้ 118.6805 พรรคสุดท้ายคือ พรรคพลังชาติไทย ก็จะได้ 1.0396 และจะมีพรรคการเมืองที่จะมีโอกาสได้ส.ส.พึงจะมีได้ต่ำกว่า 1 ที่นั่งจำนวน 58 พรรค ไม่รวมพรรคที่ไม่ส่งส.ส.บัญชีรายชื่อ 3 พรรค

จากนั้นก็นำจำนวนส.ส.ที่พรรคการเมืองพึงมีได้ ลบด้วยจำนวนส.ส.แบบเขต ที่พรรคการเมืองนั้นได้รับเลือกตั้งในทุกเขต ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะได้จำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อที่พรรคจะได้รับเบื้องต้น ตัวอย่างเช่น ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จำนวนส.ส.ที่ปชป.พึงมีได้ 55.5568 ลบด้วยจำนวนส.ส.เขตของพรรคที่ได้ 33 เขต ก็จะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อเบื้องต้นของพรรค 22.5568 ตัวอย่างที่สอง แบบไม่ได้ส.ส.แบ่งเขต แต่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ เช่น ส.ส.ของพรรคเสรีรวมไทยพึงจะมีได้เบื้องต้น 11.6318 ลบด้วยจำนวนส.ส.แบ่งเขตของพรรคคือ ศูนย์ ก็จะได้ผลลัพธ์เท่ากัน 11.6318

ขณะที่พรรคเพื่อไทย ตัวอย่างแบบไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็นำจำนวนส.ส.เพื่อไทยพึงจะมีได้ คือ 111.4679 ลบด้วยจำนวนส.ส.แบบเขตที่ได้ 137 ก็จะเท่ากับ 25.5321 ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ติดลบก็เท่ากับพรรคเพื่อไทยไม่ได้ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และตัวอย่างแบบไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ คือพรรคประชาชาติไทย เนื่องจากได้ส.ส.พึงมีครบแล้ว โดยนำจำนวนส.ส.พึงจะมีได้ เบื้องต้นคือ 6.8316 ลบกับจำนวนส.ส.ของพรรคที่ได้คือ 6 ผลลัพธ์ที่ได้คือ 0.8316 ฉะนั้นพรรคประชาชาติได้ส.ส.พึงจะมีครบแล้ว จึงไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มอีก

อย่างไรก็ตามถ้าเรานำเอาพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชาติออก เพราะสองพรรคนี้อยู่ในเงื่อนไขที่ส.ส.ที่พึงจะมีติดลบ และต่ำกว่า 1 ก็จะมีจำนวนส.ส.ที่ได้รับการจัดสรรแบบบัญชีรายชื่อ ทั้งหมด 150 คน ของพรรคการเมืองจาก 16 พรรคตัดเพื่อไทยกับประชาชาติที่ติดลบก็จะเหลือ 14 พรรคการเมือง และคงเหลือพรรคที่ได้จัดสรรบัญชีรายชื่อทั้งหมด 159.8439

แต่ปรากฏว่าพรรคการเมืองทุกพรรคได้รับจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อรวมกันแล้วเกิน 150 คน ให้ปัดจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อคิดตามอัตราส่วนที่ทุกพรรคจะได้รับการจัดสรรจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยให้นำส.ส.บัญชีรายชื่อพึงจะมีของพรรค คูณด้วย 150 หารด้วย 159.8439 ยกตัวอย่างเช่นพรรคพลังประชารัฐ นำ 21.6805 คูณ 150 หารด้วย 159.8439 ก็จะได้เท่ากับ 20.3453 จากนั้นให้จัดสรรเป็นจำนวนเต็ม ปรับตามอัตราส่วนก็จะรวมได้บัญชีรายชื่อ 142 คน แล้วนำเศษจากที่เหลือให้แก่พรรคการเมืองต่างๆ เพื่อให้ได้รับจัดสรรส.ส.บัญชีรายชื่อเพื่อให้ครบ 150 คน

ผู้สื่อข่าวถามว่าสูตรนี้ แตกต่างจากสูตรที่กกต.ใช้คำนวณอย่างไร นายสมชัย กล่าวว่า สูตรที่ตนคำนวณจะแตกต่างจากผลลัพธ์ที่กกต.ออกมาชี้แจงก่อนหน้านี้ว่า จะมีพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 25 พรรค ได้รับการจัดสรรส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งจุดแตกต่างกันอยู่ที่ข้อความที่กำหนด ในมาตรา 128 (5) ที่กำหนดว่า “การจัดสรรส.ส.บัญชีรายชื่อต้องไม่มีผลทำให้พรรคการเมืองใดมีส.ส.เกินกว่าจำนวนส.ส.ที่พึงจะมีได้” ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นข้อความเดียวกับที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 91 (4) ทั้งนี้ ตนไม่ได้บอกว่าถูกหรือผิด แต่อยากให้กกต.ดูประโยคนี้ให้ดีๆ ว่ามีความหมายอย่างไร ส่วนคำว่า คะแนนที่บอกว่าไม่มีเสียงตกน้ำ คะแนนทุกคะแนนต้องนำมาคิด นั้นเป็นเพียงวาทะกรรม หรือการพูดในเชิงเหตุและผลเท่านั้น แต่สิ่งที่เขียนในกฎหมายต้องทำตามกฎหมาย

เมื่อถามว่าสูตรนี้หมายความว่าตัดเศษที่ได้ไม่ถึงหนึ่งทิ้ง แต่ของกกต.เขาไม่ได้ตัดเศษทิ้ง แต่นำมาคำนวณใหม่เมื่อเกิดโอเวอร์แฮ้งก์ ซึ่งตรงนี้ทำให้ผิดไปจากตัวกฎหมายหรือไม่ นายสมชัย กล่าวว่า จะตัดเศษหรือไม่ตัดตนไม่รู้ แต่ผลสุดท้ายของการคำนวณจะต้องมีหน้าตาออกมาแบบนี้ ซึ่งตรงกลาง ไม่ว่าจะตัด บวก ลบ คูณ หาร อย่างไร คือกระบวนการที่ต้องทำภายใน

แต่ผลส.ส.ที่จะได้ต้องไม่เกินส.ส.พึงจะมีเบื้องต้น ไม่เช่นนั้นจะทำเป็นระบบออกแบบมาเป็นจัดสรรปันส่วนผสมไปหาอะไร แต่ตนไม่ขอวิจารณ์สูตรการคำนวณของคนอื่น เพราะตนไม่รู้ไส้ในสูตรการคำนวณนั้น แต่ต้องการให้วัดเอาที่ผลลัพธ์สุดท้ายว่าขัดกันเองหรือไม่ เพราะถ้าไม่ขัดไม่มีใครว่า จะมี 25 พรรค หรือ 50 พรรคที่จะได้ แต่ขอให้พรรคสุดท้ายเมื่อคำนวณออกมาแล้วมีส.ส.ในสภาไม่เกินไปกว่า ส.ส.ที่พึงจะมี อย่างไรก็ตามสูตรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ได้ผิดที่ตัวกฎหมาย

นายสมชัย กล่าวว่า ตนจะนำสูตรดังกล่าวเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรส่งไปให้กกต.อย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้ เพื่อต้องการให้กกต.ดูข้อความในกฎหมายเลือกตั้งส.ส.มาตรา 128 (5) ที่กำหนดไม่ให้พรรคการเมืองมีส.ส.เกินกว่าส.ส.ที่พึงมี ให้ดีว่าประโยคนี้แปลว่าอะไร เพราะในขณะนี้ยังมีเวลาอีก 1 เดือนกว่าจะถึง 9 พ.ค.ที่กกต.จะประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ และอยากให้กกต.จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่าย ทั้งนักกฎหมาย นักคณิตศาสตร์ หรือจะเชิญตนไปสอนก็ยินดี

และเมื่อกกต.ได้รับข้อมูลครบถ้วนแล้วค่อยตัดสินใจว่าสูตรที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร ควรเปิดกว้าง ให้รับฟังก่อน กกต.ต้องตัดสินใจเอง ไม่มีใครกดดันกกต. ดังนั้น กกต.ต้องตัดสินใจเองว่าจะใช้สูตรใดในการพิจารณาบัญชีรายชื่อ กกต.ต้องรับผิดชอบ เพราะถ้าคำนวณผิดถือว่าบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตามหากมีการคำนวณผิดพลาดก็ไม่ถือว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะสามารถแก้ไขผลลัพธ์ให้ถูกต้องได้ ส่วนข้อเสนอให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความในเรื่องการใช้กฎหมายนั้น จะต้องเกิดความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานราชการก่อนในการแปลความหมายของกฎหมาย และเห็นว่าช่องทางที่จะส่งศาลรัฐธรรมนูญก่อนวันที่ 9 พ.ค.นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะต้องเป็นเรื่องที่กกต.ต้องคิดและตัดสินใจเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวของนายสมชัยในวันนี้ ได้มีน.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ เข้าร่วมฟังในห้องแถลงด้วย โดยนายสมชัยเปิดเผยว่า เขาได้ประสานขอเข้ามาสังเกตการณ์และถ่ายเฟซบุ๊กไลฟ์ ซึ่งตนได้ตอบไปว่าไม่ขัดข้อง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน