“ธีรยุทธ” ตั้งโต๊ะวิพากษ์”คสช.-รบ.ประยุทธ์” ระบุ 3 ปีคนไทยได้แค่ความสบายใจ ปฏิรูปเหลว เตือนบิ๊กตู่ขาลง ศรัทธาคลอนแคลน ระวังเป็น “ตู่ต้นเตี้ย- ตู่เตี้ยลง” หลังตั้งสารพัดกรรมการแต่ไม่มีผลงาน ทำมนต์ขลังเสื่อม เป็น “ยุทธ์เรือโยง ป้อมเรือพ่วง” เตือนอย่าฝืน อยู่ในอำนาจเกินโรดแมป ติงวางยุทธศาสตร์ชาติพลาดให้อำนาจขรก. ไม่สนภาคปชช. แนะปฎิรูปเฉพาะเรื่อง เน้นลดความเหลื่อมล้ำด้านกายภาพ จัดการปัญหาปตท.ไม่ท่อก๊าซ ฟื้นศรัทธาปชช.

เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 3 มี.ค. นายธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการสาธารณะ แถลงวิเคราะห์ทิศทางอนาคตการเมืองไทย ภายใต้การบริหารของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า ประเทศไทยในอนาคตจะวิ่งเข้าสู่วิถีอนุรักษ์และจารีตนิยมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความหวังในการปฏิรูปในระดับโครงสร้างอำนาจมีน้อย เพราะผู้อยู่ในอำนาจทั้งหมดเป็นข้าราชการ ซึ่งจะสูญเสียอำนาจเมื่อมีการปฏิรูป

เพราะถ้าไม่พิจารณาวาทกรรมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ความเป็นจริงที่เกิดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาคือ การดำเนินงานของคสช.อาศัยข้าราชการ มหาดไทย ทหาร ตำรวจ เป็นหลัก นโยบายต่างๆ เป็นการเพิ่มอำนาจแก่ข้าราชการและศูนย์กลางมากกว่ากระจายอำนาจ บุคลากรซึ่งถูกแต่งตั้งไปเป็นประธานกรรมการรัฐวิสาหกิจ เป็นนายทหารเหล่าทัพต่างๆจำนวนมาก โดยไม่มีผลงานปฏิรูปใดๆ ทั้งที่มีการตั้งซูเปอร์บอร์ดศึกษาการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจมาแต่ต้น การเปลี่ยนผู้ว่ากทม. ผู้ว่าและบอร์ดรถไฟแทนที่จะตั้งเป้าปฏิรูปองค์กร ก็เพียงแต่รับงานตามประสงค์ของคสช.ต่อ

อีกทั้งบุคลากรในแม่น้ำ 5 สาย เกือบทั้งหมดมีความคิดแบบอนุรักษ์และจารีตนิยม มีผลงานที่ดีบ้าง แต่ยังไม่มีที่ให้ความหวังเรื่องการปฏิรูป แต่แสดงออกชัดเจนที่จะผลักให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในอำนาจต่อไป เพื่อตัวเองจะได้อยู่ในอำนาจต่อด้วย ดังนั้น จากเรือแป๊ะกับแม่น้ำ 5 สาย จึงเริ่มกลายเป็นยุทธ์เรือโยง ป้อมเรือพ่วง ลากจูงกันไป ทุลักทุเลมากขึ้น จนอาจจะเกยหาดหรือติดเกาะแก่งได้ ถ้าฝืนอยู่ในอำนาจเกินโรดแมป

นายธีรยุทธ กล่าวต่อว่า เกือบ 3 ปีจากการบริหารของคสช.ถือว่าประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มีความสนุกสนาน ได้ความสบายใจ มีการจัดระเบียบ กำหนดนโยบายใหม่ แต่เชื่อว่าการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจจะไม่เกิด เพราะไม่อยากทำ รวมถึงการวางระบบและการบูรณาการต่างๆ ก็ไม่เห็นผล อย่างไรก็ตาม ไม่เชื่อว่า ความขัดแย้งแบบเก่าจะกลับมา เพราะไม่ง่ายที่จะปลุกระดม จึงไม่ห่วงเรื่องปรองดอง และเห็นว่าการปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ 2 ฝ่ายอยู่ในฐานะที่ชัดเจนแล้ว คือมองเห็นผลลัพธ์สุดท้ายว่าจะแพ้หรือชนะได้แน่นอนแล้ว หรือหากยื้อต่อไป ต่างฝ่ายจะสูญเสียเพิ่มจึงหันมาพูดจากันเพื่อให้ทุกฝ่ายชนะคือ วิน วิน แต่อาจต้องใช้เวลา ซึ่งรัฐบาลต้องมีแนวนโยบายที่ถูกต้องทำงานปฏิรูปให้ได้ผล จะเป็นการช่วยไม่ให้เกิดความขัดแย้ง

นอกจากนี้ ยังเห็นว่ามนต์ขลังจากการบริหารที่ประชาชนเห็นว่าทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบเริ่มเสื่อม ส่งผลให้ความมั่นใจในรัฐบาลเริ่มคลอนแคลน แต่ไม่คิดว่าจะเกิดปัญหาแทรกซ้อนโครงสร้างทางประชาธิปไตยจากสถานการณ์นี้ เพราะขณะนี้อยู่ในสภาวะสั่นไหว คลอนแคลน ก็ต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่าเสียคำพูดเรื่องโรดแมปให้มีการเลือกตั้ง และต้องพร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาหลังการเลือกตั้งต่อไป โดยควรมุ่งเน้นเกี่ยวกับงานโครงสร้างอำนาจ หรือการวางรากฐานเช่น การปราบคอร์รัปชั่น ที่ยังไม่มีความคืบหน้า รวมถึงจัดการกับคดีใหม่เช่น เชฟรอน รถญี่ปุ่นเลี่ยงภาษี ปตท.ไม่ยอมคืนท่อก๊าซ ปราบปรามอิทธิพลนอกระบบให้มีความคืบหน้า ซึ่งจะช่วยดึงศรัทธาจากประชาชนกลับมาได้ ไม่เช่นนั้นประชาชนอาจจะนึกถึงภาพรัฐบาล “ตู่ต้นเตี้ย หรือตู่เตี้ยลง” ก่อนที่จะจบโรดแมปของคสช.

“ขอทำความเข้าใจว่า ตู่ต้นเตี้ย เป็นคำโบราณ หมายถึงว่าอย่ามายอฉันเลย เหมือนเตยต้นเตี้ย คือเป็นคนดีแต่อาภัพอับวาสนา ที่เปรียบแบบนี้ เพราะลุงตู่ชอบน้อยใจอยู่เรื่อยว่าทำงานเหนื่อย แต่ไม่มีคนเห็นใจ ส่วนตู่เตี้ยลง ก็เหมือนสาละวันเตี้ยลง แต่ลุงตู่ก็มีผู้สนับสนุน เดี๋ยวก็มีคนมาเชียร์ให้ลุกขึ้น เหมือนเพลง สาละวันลุกขึ้น ลุกขึ้นสาละวัน พุดแบบนี้เป็นการแหย่กันในเชิงกวี เพราะเห็นว่านายกก็เป็นนักเลงกลอน” นายธีรยุทธ กล่าว

นายธีรยุทธ กล่าวด้วยว่า การบริหารของคสช.ในขณะนี้ เริ่มอยู่ในสภาพเรือแป๊ะพายวน โดยเฉพาะเกี่ยวกับมาตรการสร้างความปรองดอง และการวางแผนยุทธศาสตร์ต่างๆ มีการตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2 ชุด กรรมการปฏิรูป 2 ชุดกำหนดยุทธศาสตร์ 20 ปีรวม 3 แผนใหญ่ แต่ไม่มีผลงานที่ให้ความมั่นใจได้ว่า จะแก้ปัญหาได้จริงแม้แต่ชุดเดียว จึงเห็นว่าคสช.ตั้งธงความคิดกับยุทธศาสตร์แก้ปัญหาประเทศผิดพลาด เพราะไปมองว่า พรรคการเมือง นักการเมืองคือที่มาของวิกฤต เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ต้องทอนอำนาจและบทบาทหน้าที่ลง ทั้งที่ความจริงแล้ว จากความล้มเหลวที่ผ่านมาจะทำให้พรรคการเมืองจะต้องปฏิรูปตัวเองอยู่แล้ว จึงควรจัดวางยุทธศาสตร์ให้ภาคสังคม ประชาชน เข้ามามีสิทธิอำนาจควบคู่กับความรับผิดชอบมากขึ้น โดยสร้างความเข้มแข็งเพื่อถ่วงดุลกับภาคการเมือง

ขณะเดียวกันก็ควรวางรากฐานความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูป เพื่อให้พ้นจากปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซ้ำซ้อน และปัญหากลุ่มอุปถัมภ์ทั้งแบบหนี้บุญคุณให้หมู่คนจน และการอุปถัมภ์ในระดับคนรวยที่เรียกว่า เป็นกลุ่มอุปถัมภ์อภิสิทธิ์ จากการสร้างเครือข่ายคอนเนคชั่นในกลุ่มผู้มีอำนาจ 5 กลุ่มประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ที่อยู่ในฝ่ายยุติธรรม บริหาร นิติบัญญัติ และงบประมาณ รวมถึงนักกรเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการแทคโนเครตต่างๆ ที่สร้างเครือข่ายผ่านหลักสูตรพิเศษจากหลายหน่วยงาน โดยเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากเครือข่ายเหล่านี้ ทำให้เกิดผลกระทบด้านการตัดสินคดีความ การวางโปรเจคต่างๆ การจัดสรรงบประมาณ ซึ่งเป็นไปในลักษณะเมตตามหานิยม ตอบแทนซึ่งกันและกัน และยังเป็นห่วงเรื่องการยกระดับความเลวร้าย จากความตกต่ำด้านศีลธรรม ส่งผลต่อค่านิยมที่อาจพัฒนาไปถึงขั้นว่า จำเป็นต้องโกง ไม่โกงจะถูกกลั่นแกล้งจนอยู่ไม่ได้

นายธีรยุทธ เสนอแนวทางแก้ปัญหา โดยให้รัฐบาลปฏิรูปประเทศ ในลักษณะให้แผนการดำเนินการไม่ใช่โปรแกรมทางความคิด โดยต้องแก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางกายภาพ อาจใช้มาตรา 44 แบ่งงบประมาณไปช่วยคนจนในเรื่องปากท้อง การแก้คอรัปชั่น และปฏิรูปการศึกษาแบบสองทาง คือสร้างระบบจูงใจแล้วคัดกรองครู ที่จะเข้าไปในสถานศึกษา เริ่มจากจังหวัดละหนึ่งแห่ง ภาคละหนึ่งแห่งแล้วจึงขยายต่อไป

รวมถึงปรับปรุงหลักสูตรให้ง่ายขึ้นเพื่อเหมาะสมกับโลกาภิวัฒน์ด้วย โดยให้รัฐบาลทำเป็นเรื่องๆ เชื่อว่าภายใน 6 เดือนก็จะเห็นผล แต่การปฏิรูปจะสำเร็จก็ขึ้นกับผู้มีอำนาจมีศิลปะในการใช้อำนาจหรือไม่ และมีเจตจำนงในการปฏิรูปหรือไม่ ซึ่งในขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์ ถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ถืออำนาจพิเศษในสถานการณ์พิเศษ ต้องยึดหลักการให้ว่าการปฏิรูปจะสำเร็จต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมและต้องขยายอำนาจให้ประชาชนมาช่วยค้ำจุน

อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า ประเทศไทยอาจต้องเดินไปตามบุญตามกรรม โดยไม่มีการปฏิรูป เพราะอาจเกินกำลังของกลุ่มบุคคลใด บุคคลหนึ่งเนื่องจากเมืองไทยไม่มีวัฒนธรรมที่จะร่วมมือกันแก้ปัญหาใหญ่ด้วยตัวเอง เชื่อว่าหลังรัฐบาลคสช.หมดอำนาจปัญหาที่มีแก้ไขหรือจัดระเบียบไป 60-70 เปอร์เซ็นต์ จะกลับมาเหมือนเดิม

สำหรับการใช้มาตรา 44 ในการบริหารประเทศของรัฐบาลคสช.นั้น เห็นว่า ไม่สามารถที่จะไปเปรียบเทียบกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ แม้ว่ารัฐบาลต่อไปจะไม่สามารถใช้อำนาจพิเศษเช่นนี้ได้ ก็ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาหลังการเปลี่ยนผ่านอำนาจ แต่ในขณะที่มีอำนาจพิเศษก็ควรใช้ได้ดีและเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะต้องยอมรับว่าคนไทยมีลักษณะยอมรับอำนาจนิยม แต่ผู้ใช้ก็ต้องใช้อย่างถูกต้อง

ส่วนกลุ่มคนที่ออกมาคัดค้านการใช้อำนาจพิเศษ หากทำโดยบริสุทธิ์ ตนก็เห็นใจ เพราะก็เคยผ่านการต่อสู้เช่นนี้มาก่อน การออกมาเคลื่อนไหวไม่ควรมีผลประโยชน์ ขณะที่ผู้มีอำนาจก็ควรให้ความสำคัญกับเสรีภาพทางวิชาการด้วย เพราะเป็นประโยชน์กับทั้งผู้มีอำนาจและสังคม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการแถลงข่าว นายธีรยุทธได้ออกตัวว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ไม่ได้เป็นศัตรูหรือผู้สนับสนุนคสช. แต่เป็นการทำงานทางวิชาการที่เคยทำมาตลอดทุก 1 ปี จะวิเคราะห์สถานการณ์ เพียงแต่ไม่ได้ทำมา 3 ปีแล้ว และเห็นว่าในขณะนี้มีความจำเป็นต้องแสดงความเห็น เพื่อเสนอแนะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน