หญิงหน่อย สงสัย เลือกตั้งหนนี้ เหมือนพิธีกรรมชุบตัว เผด็จการดูเป็นประชาธิปไตย

หญิงหน่อย / คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา คือความหวังของคนไทยที่รักและเชื่อมั่น ในระบอบประชาธิปไตย เป็นการเลือกตั้งที่คนไทยเกือบทั้งประเทศ รอคอยมานานร่วม 5​ ปี

พวกเราตั้งความหวังไว้สูง ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะนำพา “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่ยั่งยืนกลับคืนสู่บ้านเมืองของเราได้ หลังการเลือกตั้ง เราคาดหวังจะมีรัฐบาลพลเรือน ผ่านการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม เป็นที่ยอมรับของคนไทยทั้งประเทศ และเป็นที่ยอมรับต่อประชาคมโลก จึงทำให้เราอดทน ยอมอยู่ภายใต้การปกครองที่เราไม่ต้องการมานานเกือบ 5​ ปี

บัดนี้การเลือกตั้งที่เรารอคอย ได้ผ่านพ้นไปกว่า 1 เดือนแล้ว คนไทยทุกคนรับรู้และสัมผัสได้ว่าความพึงพอใจในสิ่งที่เราอดทนรอคอยด้วยความหวังนั้น เราได้ความสุขคืนกลับมามากน้อยแค่ไหน..?

พล.อ.ประยุทธ์ คือผู้ที่ตัดสินใจกระทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ สถาปนาคสช.ขึ้นมาเป็นองค์กรหลัก แต่งตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กำกับดูแลประเทศชาติให้เดินมาในทิศทางนี้ ได้เคยทบทวนในสิ่งที่ตัวเองกระทำและประเมินหรือไม่ว่าประชาชนไทยได้รับความสุขกลับคืนตามที่ คสช.เคยสัญญาไว้ คุ้มค่ากับที่รอคอยมา 5 ปีหรือไม่?

การคืนความสุขให้กับคนไทย หัวหน้าคสช.ควรกระทำอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีร่องรอยของเจตนารมณ์อื่นแอบแฝงให้ผิดสังเกต โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อครหาในเรื่อง “การสืบทอดอำนาจ”

หากพลเอกประยุทธ์ ไม่นำตัวเองลงมาเป็นคู่แข่งขัน หรือเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง และดำรงตนในสถานะคนกลางที่ยอมเสียสละ มีความจริงใจในการคืนประชาธิปไตย มีความเป็นกลางที่เที่ยงธรรมโดยไม่ยอมให้มี Conflict of Interest เกิดขึ้น ย่อมจะทำให้เงื่อนไขความไม่เข้าใจ รวมถึงข้อสงสัยในความไม่ชอบมาพากลต่างๆ ลดลงไปได้มาก

คงไม่มีการแข่งขันแบบ Fair Game ใดๆ ในโลก ที่การแข่งขันผ่านพ้นไปเดือนกว่าแล้ว รู้คะแนนกันหมดแล้ว แต่ก็ยังสรุปวิธีนับคะแนนไม่ได้ ทั้งคู่แข่งขัน-กองเชียร์-คนดูหรือแม้กระทั่งกรรมการตัดสิน ทุกฝ่ายล้วนมีความงง และสับสนในกติกาที่เขียนไว้อย่างสลับซับซ้อนด้วยกันทั้งสิ้น

โชคดีที่ในความสลับซับซ้อน ยังมีนักวิชาการและพรรคการเมืองหลายพรรคที่ตีโจทย์วิธีการคำนวณได้แตก และตรงตามตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญ “ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ” จึงสามารถนำมาใช้ได้เลยโดยไม่ต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความให้ยุ่งยาก ขึ้นอยู่กับผู้เกี่ยวข้องว่าจะหยิบเอามาใช้หรือไม่?

หากจะเลือกวิธีอื่นที่จะทำให้ขั้วในการจัดตั้งรัฐบาลเปลี่ยนไป แต่ก็เสี่ยงกับการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ประเด็นนี้ถือเป็น “ทาง​ 2​ แพร่ง” ด่านสำคัญที่จะพิสูจน์ความ “เป็นกลาง” และจะกำหนดต้นทุนความเชื่อมั่นของสังคมต่อองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง

ด่านความเชื่อมั่นต่อไป ที่จะตามมาคือส.ว. 250​ คน ที่มีหน้าที่อันสำคัญยิ่ง คือการได้สิทธิ์ในการร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัย กลับมีกระบวนการคัดเลือกที่เป็นความลับสุดยอด ที่ประชาชนไทยทั้งประเทศรู้แค่เพียง คสช.เป็นผู้เลือก และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานคัดเลือก ส่วนคณะกรรมการฯ, กระบวนการคัดสรร, ตัวบุคคลที่เป็นแคนดิเดตและข้อมูลอื่น เป็นความลับที่ประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิ์รับทราบ

สิ่งที่เรารู้อีกอย่างเกี่ยวกับการเลือกส.ว.ก็คือ มีการเบิกงบประมาณจากภาษีของประชาชนทุกคนไปใช้เป็นเงินมากกว่า 1,300​ ล้านบาท แต่ประชาชนกลับมีส่วนร่วมแค่เพียงคอยร่วมลุ้นว่า ส.ว. 250​ คนที่ได้รับการคัดเลือกแบบลับๆ มา จะมีสัก 1 คนหรือไม่? ที่จะกล้าแสดงความคิดเห็นว่า ตนเองไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา..?

ประชาธิปไตยที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย ในสายตาของประชาคมโลกได้นั้น ต้องเป็นประชาธิปไตยอันสง่างาม ที่ทำให้ประชาชนไทยและคนชาติอื่นในโลก มีความเชื่อมั่นว่าอำนาจอธิปไตยที่ได้มานั้น มีที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง

หากกระบวนการต่างๆ ทั้งในเรื่องข้อกฎหมาย, การคัดสรร, กติกา, คณะกรรมการฯ และความชอบธรรมในการเลือกตั้ง ผิดเพี้ยนไปจากหลักการ ทำให้ประเทศไทยไม่ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมา

เท่ากับว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมา เป็นเพียงพิธีกรรมที่ทำให้ดูเหมือนมีการ “คืนความสุข” ให้ประชาชน และการที่ประชาชนออกไปหย่อนบัตรลงคะแนน เปรียบเสมือนการช่วยชุบตัวให้เผด็จการดูเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นเท่านั้น

เห็นด้วยที่จะเดินหน้าประเทศไทย เห็นด้วยที่ประเทศไทยต้องไปต่อ แต่ขอไปต่อตาม “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” โดยที่ไม่มีโซ่ตรวนแห่งการสืบทอดอำนาจเผด็จการแอบผูกล่ามเอาไว้ คนไทยทนรอคืนความสุขกันมา 5​ ปี ขอโอกาสเพียงเท่านี้ พอจะมีสิทธิ์ได้มั้ยคะ..?

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน