การเมือง : หุ้นสื่อบานหนักลุ้นระทึกผลส.ส.
หุ้นสื่อบานหนักลุ้นระทึกผลส.ส. : อุณหภูมิการเมืองลดระดับลงในช่วงพระราชพิธีสำคัญของคนไทยทั้งประเทศ
จากนั้นช่วงสัปดาห์หน้าตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคมเป็นต้นไป ยังคงมีประเด็นใหญ่ให้ต้องติดตาม
เริ่มจากการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งส.ส.เป็นทางการร้อยละ 95 ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยว่าจะประกาศในส่วนส.ส.แบ่งเขต วันที่ 7 พฤษภาคม และในส่วนของส.ส.บัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ 150 คน วันที่ 8 พฤษภาคม
ซึ่งจะทำให้เห็นภาพรางๆ ว่าพรรคขั้วค่ายใดจะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล
8 พฤษภาคม ยังเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดแถลงด้วยวาจาและลงมติ ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งคำร้องขอให้วินิจฉัย ว่า
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 128 ซึ่งกำหนดเกี่ยวกับวิธีคำนวณหาส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 หรือไม่
จึงต้องจับตาเป็นพิเศษว่า คำวินิจฉัยจะมีผลต่อการประกาศรับรองส.ส. อย่างไร โดยเฉพาะสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่เป็นประเด็นในคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน
รวมถึงสิ่งที่หลายคนตั้งข้อสงสัย หากศาลวินิจฉัยว่ามาตรา 128 ของพ.ร.ป. ไม่เป็นไปตามเจตจำนงรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 จะส่งผลทางอ้อมให้การเลือกตั้ง 24 มีนาคม เป็น “โมฆะ” หรือไม่ อันจะนำไปสู่การยื่นตีความไม่จบสิ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น เกี่ยวกับสูตรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นปัญหาถกเถียงกันมานานมากกว่า 1 เดือน ว่าสมควรใช้สูตรใดถึงจะถูกต้องตามที่รัฐธรรมนูญและพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.บัญญัติไว้
แม้จะมีข่าว กกต.ในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรงได้ประมวลความเห็นของอดีต กกต. นักวิชาการสถาบันต่างๆ และอดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลักๆ
แนวทางแรก คือ จัดสรรเก้าอี้ส.ส.บัญชีรายชื่อให้พรรคที่ได้คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยต่อส.ส. 1 คน หรือ 7.1 หมื่นคะแนน จำนวน 27 พรรค กับอีกแนวทาง จะมีพรรคการเมืองได้รับการจัดสรรส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวน 16 พรรค
โดยไม่จัดสรรให้พรรคที่ได้คะแนนต่ำกว่า 7.1 หมื่น
ถึงจะมี 2 แนวทางการคิดคำนวณ แต่ก็มีกระแสข่าวออกมาตลอดตั้งแต่หลังเลือกตั้งว่า กกต.มี “สูตรคำนวณในใจ” แล้ว
อันจะนำไปสู่ผลลัพธ์จำนวนส.ส.แต่ละพรรค สอดรับกับที่กลุ่มผู้มีอำนาจต้องการ เป็นสูตรที่ได้รับการคัดค้านจากพรรคฝ่ายประชาธิปไตย และนายสมชัย ศรีสุทธิยากร สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และอดีต กกต.
พรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ประกาศทีท่าชัดเจน ถ้าหาก กกต.ใช้สูตรแจกเก้าอี้ส.ส.บัญชีรายชื่อให้พรรคได้คะแนนต่ำกว่า 7.1 หมื่น ก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีแน่นอน ตามกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 69 ของพ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.
และยังอาจร้องต่อป.ป.ช. หากเห็นว่า กกต.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำผิดรัฐธรรมนูญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้พรรคใดพรรคหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลได้
นอกจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมาในวันเดียวกับที่ กกต.ประกาศรับรองส.ส.บัญชีรายชื่อ ยังต้องลุ้นด้วยว่า
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ 1 ของพรรคจะมีชื่อได้รับรองเป็นส.ส.หรือไม่ หลังจากถูก กกต.ตั้งข้อกล่าวหา “ถือหุ้นสื่อ” อาจมีผลทำให้ถูกแจก “ใบส้ม” ตัดสิทธิการลงสมัครชั่วคราว 1 ปี
ต่อเรื่องดังกล่าวมีการประเมินผลกระทบว่า หาก กกต.เลือกแจกใบส้มให้นายธนาธร ก็จะเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีถือหุ้นสื่ออีกนับสิบนับร้อยคดีที่ตามมา ว่าเป็นการกระทำที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตเที่ยงธรรม
ที่นอกจากต้องเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ยังต้องดำเนินการต่อทั้งคดีอาญา และต่อหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ไปจนถึงการ “ยุบพรรค” อย่างที่เริ่มมีตัวอย่างให้เห็นบ้างแล้ว
ทั้งในกรณีพรรคเพื่อไทยยื่นขอให้ยุบพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากพบว่านายชาญวิทย์ วิภูศิริ ว่าที่ส.ส.กทม.และกรรมการบริหารพรรค เป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นในบริษัทที่จดแจ้งวัตถุประสงค์ในหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อหนึ่งว่าประกอบกิจกรรมหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชน
รวมทั้งกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติ ยื่นให้กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติ ผู้สมัคร 4 ราย เนื่องจากถือหุ้นในธุรกิจสื่อ ประกอบ ด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ กรรมการบริหารพรรคพลัง ประชารัฐ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ และนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง เลขาธิการพรรครวมพลังประชาชาติไทย ว่าเข้าข่ายขาดคุณสมบัติ ต้องยุบพรรคด้วยหรือไม่
ในจำนวนผู้ถูกร้องและอยู่ในข่ายถูกร้องหลายคนอ้างว่า บริษัทที่ถือหุ้นอยู่ได้จดแจ้งวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจสื่อจริง แต่เป็นแค่การจดแจ้งตามแบบฟอร์มในหนังสือบริคณห์สนธิของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในทางปฏิบัติไม่ได้ทำธุรกิจสื่อจริง
ถึงจะเป็นข้ออ้างที่มีเหตุผล และไม่น่าจะผิด แต่คดีแบบเดียวกันนี้ได้มีบรรทัดฐานไว้แล้ว
โดยศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเคยมีคำวินิจฉัยในกรณีนายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัครส.ส.เขต 2 นครพนม พรรคอนาคตใหม่ ถูกร้องขาดคุณสมบัติลงสมัคร เนื่องจากเป็นหุ้นส่วนบริษัทซึ่งมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการวิทยุ โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์
แม้เจ้าตัวอ้างว่าบริษัทไม่ได้ประกอบกิจการตามนั้นจริง แต่ศาลฎีกาฯ วินิจฉัยว่า ฟังไม่ขึ้น มีคำสั่งให้ถอนชื่อจากการเป็นผู้สมัครส.ส.
“เมื่อนั้นจักรวาลมาร์เวลคงสูญนักการเมืองไทยไปครึ่งจักรวาล” นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ระบุถึงกรณีนายธนาธรถูกกล่าวหาถือหุ้นสื่อ ที่กำลังบานปลายกลายเป็นประเด็นไฟลามทุ่ง
ทั้งนี้ ปมหุ้นสื่อในบริษัทที่มีเพียงวัตถุประสงค์ แต่ไม่ได้ประกอบกิจการด้านสื่อจริง ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการสะท้อนถึงการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้การเลือกตั้งแทนที่จะเป็นทางออกของประเทศ กลับเป็นบรรยากาศแห่งความวุ่นวายขัดแย้ง อันมีจุดเริ่มต้นจากฝ่ายผู้มีอำนาจอยากอยู่ต่อ โดยไม่เคารพเสียงประชาชน
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรอบเวลาการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ของ กกต.ในวันที่ 7 และ 8 พฤษภาคมนี้ จะมีผลถึงวันรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาที่ต้องทำภายใน 15 วันตั้งแต่วันประกาศผล และการทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ต้องทำภายใน 3 วันนับจากวันที่ 8 พฤษภาคม
ส่วนไทม์ไลน์การประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น ขึ้นอยู่กับประธานรัฐสภา ไม่มีกรอบเวลาตายตัว
เนื่องจากสิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา คือการประชุมของแต่ละสภา เพื่อเลือกประธานและรองประธานสภา และเมื่อนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เมื่อโปรดเกล้าฯ ลงมาแล้วประธานรัฐสภาจะเรียกประชุมเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีต่อไป
ส่วนรัฐบาลใหม่จะเกิดขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรีคนใหม่พิจารณาพรรคการเมืองที่จะมาร่วมรัฐบาลและตั้งรัฐมนตรี ซึ่งกระบวนการน่าจะอยู่ในเดือนมิถุนายน ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ระบุ
ขณะที่กระบวนการคัดเลือก 250 ส.ว.โดยหัวหน้า คสช. เดินหน้าไปจนเกือบสุดทาง ตามที่มีชื่อปรากฏผ่านรายงานข่าวของสื่อ ส่วนใหญ่มาจากสมาชิก แม่น้ำ 5 สายเดิมภายใต้การควบคุมของ คสช. ไม่ว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)
การเมืองสัปดาห์หน้าหลังผ่านพ้นพระราชพิธีสำคัญจึงมีหลายประเด็นให้ต้องติดตามชนิดห้ามกะพริบตา
รวมถึงประเด็นการตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” โดยมี “คนนอก” เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ที่เริ่มมีการพูดถึงกันหนาหูมากขึ้น