จ่านิว นำแนวร่วมฯ ยื่นป.ป.ช. ถอดถอน 7 กกต. จี้ เร่งไต่สวน ส่งมติ ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เมื่อเวลา 10.45 น. ที่สำนักงานป.ป.ช. สนามบินน้ำ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว นายธนวัฒน์ วงค์ไชย หรือบอล แกนนำแนวร่วมประชาชนเพื่อการเลือกตั้งที่เป็นธรรม ยื่นหนังสือถึง ประธานคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้พิจารณาถอดถอนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 7 คน

โดยนายสิรวิชญ์ ระบุว่า ขอให้ดำเนินการการไต่สวนและมีความเห็นกรณี กกต. มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่และจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

พร้อมกับได้นำเอกสารหลักฐานจำนวนมาก รวมทั้งนำรายชื่อผู้ร่วมร้อง 4,833 รายชื่อ ยื่นพร้อมครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้เรา มุ่งหวังให้ป.ป.ช. ดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็วและมีความเห็นแล้วมีมติ เพื่อยื่นต่อศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ตัดสินต่อไป เราไม่ต้องการให้จบแค่ชั้นป.ป.ช. แต่ต้องการให้ไปถึงชั้นศาล

ด้านนายธนวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับพฤติการณ์ที่ตรวจพบ 11 กรณี คือ

1. การที่วินิจฉัยให้ บัตรเลือกตั้งจากนิวซีแลนด์เป็นบัตรที่ไม่สามารถนับคะแนนได้ ทำให้สิทธิ์และเสียงของประชาชนไทยในนิวซีแลนด์ จำนวน 1,542 ใบ ไม่สามารถสะท้อนเจตจำนงได้

2.การตรวจสอบกรณี ระดมทุนโดยจัดโต๊ะจีนของพรรคพลังประชารัฐ เป็นไปด้วยความล่าช้าและเข้าข่ายเลือกปฏิบัติ เมื่อเทียบกับการดำเนินคดีพรรคการเมืองอื่นที่สามารถตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว

3. กรณีบัตรเขย่ง ที่มีบัตรเลือกตั้งหายไป 9ใบและมีการจัด เลือกตั้งใหม่บางหน่วย ซึ่งการเลือกตั้งใหม่นั้นเป็นการเลือกตั้งที่รู้ผลอยู่แล้วจึงเข้าข่าย จะเป็นการเลือกตั้งโมฆะตามแนวทางวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 เป็นโมฆะ

4. จำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งแถลง ในวันที่ 24 มีนาคม กับวันที่ 28 มีนาคมไม่ตรงกัน ก็อาจทำให้การเลือกตั้ง เกิดความไม่โปร่งใส

ไม่พลาดทุกข่าวสาร แอดไลน์ข่าวสด เพิ่มเพื่อน

5. ดุลย์พินิจในการวินิจฉัยบัตรดีและบัตรเสียของกรรมการประจำหน่วย มีความคลาดเคลื่อนและส่งผลให้การนับคะแนนเกิดปัญหาดังที่เราได้เห็นในการนับคะแนนใหม่เขต1 จังหวัดนครปฐม จึงต้องการให้มีการตรวจสอบว่ากกต.กลาง ได้มีการวินิจฉัยในประเด็นนี้แล้วมีการแก้ไขหรือยัง

6. เอกสารประชาสัมพันธ์ของกกต. เกิดความผิดพลาดทำให้เกิดความเข้าใจและสำคัญผิดในตัวผู้สมัคร บางราย เช่น การกรอบวุฒิการศึกษาผิดพลาด การจัดเรียงหน้าเอกสารผิดพลาด ทำให้เกิดความเข้าใจผิดของหมายเลขผู้สมัคร การกรอกชื่อของพรรคการเมืองของผู้สมัครคนนั้นผิดพลาด เอกสารประชาสัมพันธ์ผิดพลาดเช่นนี้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและสำคัญผิดในตัวผู้สมัคร

7. การพบบัญชีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มีชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเป็นเด็กอายุ7ขวบ และผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว 20 กว่าปี อยู่ในบัญชีผู้มีสิทธิ์ทั้งที่เป็นผู้ไม่มีสิทธิ์ กรณีเช่นนี้อาจเกิดความไม่โปร่งใส

8. ความล้มเหลวในการจัดการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ที่มาเลเซีย ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพจนทำให้ประชาชนบางรายไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ทัน

9. การนับคะแนนใหม่เขต1นครปฐม พบว่าการนับคะแนนของวันที่ 24 มีนาคมกับวันที่ 28 เมษายนนั้นจำนวนผู้มีสิทธิ์ต่างกัน และเกิดความคลาดเคลื่อนในการนับคะแนนทั้งสองครั้ง ซึ่งอาจสะท้อนว่าเกิดความไม่โปร่งใส ในการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น

10.พฤติกรรมเลี่ยงตอบคำถามของกกต. โดยข้ออ้างว่าไม่มีเครื่องคิดเลข การจงใจไม่ตอบคำถามของนักข่าวก็รณีที่มีชื่อเด็กและคนตายในบัญชีผู้มีสิทธิ์ การไม่ยอมเปิดเผยสูตรการคำนวณส.ส. บัญชีรายชื่อ ถือได้ว่าเป็นการจงใจปกปิดข้อมูลสาธารณะซึ่งขัดต่อจริยธรรมการปฏิบัติหน้าที่ของกกต.

11.กกต. ไม่ดำเนินการเอาผิดใดๆกับผู้ที่ทำให้บัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรมาถึงล่าช้าจึงทำให้ยอด บัตรการลงคะแนนเสียงไม่ตรงกับผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งหรือบัตรเขย่งซึ่งถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐานการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ม.157

จากนั้น นาย ธนวัฒน์ ได้เปิดเผยอีกครั้ง หลังจากยื่นหนังสื่อถึง ป.ป.ช.ว่า ตนและตัวแทนแนวร่วมประชาชนเพื่อการเลือกตั้งที่เป็นธรรม ได้มายื่นคำร้องและหลักฐาน พร้อมแนบรายชื่อผู้ร่วมเข้าชื่อถอดถอน กกต. ต่อ ป.ป.ช. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยทาง ป.ป.ช. แจ้งว่าจะใช้เวลาประมาณ “2 ปี” ในการตรวจสอบ ถึงแม้ระยะเวลาจะยาวนาน แต่เราก็จะรอ เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่เราจะสามารถใช้สิทธิของเราในการตรวจสอบการทำงานของ กกต. ตามรัฐธรรมนูญได้

2 ปี ไม่นานเกินรอ


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน