โอ๊ค เปิดคำสัญญา 2 พรรค ‘ปชป.-ภูมิใจไทย’ ตัดสินกำหนดอนาคตประเทศไทย

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์การเมืองในช่วงนี้ว่า ปัญหาการเมืองไทยแก้ไม่ยาก หากทุกพรรคมีความเชื่อมั่นในเสียงของประชาชนครับ การเลือกตั้ง 24 มีนาคมที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศอุตส่าห์ตั้งตารอมาเกือบจะครบ 5 ปี ผลลัพธ์เป็นอย่างไรมาดูกัน

พรรคที่ประกาศตัวสืบทอดอำนาจลุงฯ ได้ ส.ส.รวมกันเพียง 120 กว่าคน แต่ตั้งธงไว้ว่าจะต้องเป็นรัฐบาล และลุงตู่ต้องอยู่ต่อให้ได้

ส่วนพรรคที่ประกาศตัวไม่สนับสนุนลุงตู่ โดนดูดก็แล้ว โดนขู่ก็แล้ว โดนเขียนรัฐธรรมนูญให้ยิ่งได้ ส.ส.เขตมากเท่าไหร่ พรรคยิ่งเล็กลงเท่านั้น โดนบัตรเขย่ง โดนนับคะแนนแจกพรรคเล็ก โดนสารพัดจะโดน ยังได้ส.ส.ถึง 245 คน มากกว่าพรรคฝ่ายสืบทอดอำนาจให้ลุงเกิน 2 เท่าตัว

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ตัวแปรจึงมาตกอยู่กับพรรคที่อยู่ตรงกลาง ที่มีส.ส.รวมกันร้อยคนเศษ หากจะไปรวมกับขั้วสืบทอดอำนาจให้ลุง ก็จะได้รัฐบาลปริ่มน้ำที่ไม่มีเสถียรภาพ และต้องพึ่งความหวังจากน้ำบ่อหน้า จากการยุบพรรคอีกฝ่าย เพื่อซื้อตัวส.ส.ที่กระจัดกระจายมาช่วยเสริมทัพ และต้องหาซื้องูเห่ามาเลี้ยง ซึ่งเท่ากับเป็นการสนับสนุนให้การเมืองไทยเน่าเหม็นย้อนยุคไปอีกหลายสิบปี

หากตัวแปร 100 กว่าเสียงนี้ เข้าร่วมกับขั้วประชาธิปไตยที่ไม่สนับสนุนลุง จะทำให้ได้รัฐบาลร่วม 350 เสียง ซึ่งในภาวะปกติถือว่าเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูงมาก #ประชาธิปไตยไปต่อ ได้อย่างสบาย และการจัดตั้งรัฐบาลน่าจะลงตัวไปนานแล้ว แต่ในยุคที่ลุงเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยอาจไปได้ยากหน่อย

ที่สำคัญพรรคตัวแปรนี้มี 2 พรรคใหญ่ ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งได้ให้สัญญากับพี่น้องประชาชนไว้ก่อนการเลือกตั้ง ดังนี้

พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัญญาเอาไว้ชัดเจนว่า

1.พรรคจะไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ (เน้นย้ำชัดเจนว่า “ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายก” ไม่ได้ใช้สรรพนามอื่น)

2.พรรคจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่สืบทอดอำนาจ (ก็หมายถึงการสืบทอดอำนาจของพลเอกประยุทธ์อีกแหละ)

3.แถมยังปิดประตูการบิดพริ้วในอนาคต ด้วยการยืนยันว่า 2 ข้อข้างต้นคือ “อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์” และย้ำว่าไม่มีพรรคการเมืองใด ลงมติสวนทางอุดมการณ์ของพรรค..!!

ซึ่งถ้าเรานับเสียงส.ส.ของทุกพรรคที่ประกาศว่า “ไม่เอาลุง” รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ด้วย จะมี ส.ส.รวมกันถึง 297 เสียง ชนะพรรคที่จะเอาลุงอย่างขาดลอยทีเดียว

ส่วนพรรคภูมิใจไทย ก็สัญญาไว้หนักแน่นว่า พรรคจะร่วมรัฐบาลกับขั้วการเมืองที่ได้ส.ส.ในสภาเยอะที่สุด เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูงสุด ทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และจะไม่ยอมให้ส.ว. 250 เสียงมากำหนดอนาคตประเทศ สวนทางจากฉันทานุมัติของประชาชน

ซึ่งตัวเลข 245 : 120 ก็ชัดเจนว่าพรรคภูมิใจไทยนำพรรคมาร่วมกับฝั่งไหน การเมืองจึงจะมีเสถียรภาพในสภามากกว่ากัน และถ้า 2 พรรคนี้มาร่วมรัฐบาล เราจะมีเสียงในสภาถึง 348 เสียงจาก 498 เสียง เราจะได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพแน่นปึ๊ก ประชาธิปไตยไปต่อได้สบาย

เผด็จการคือการใช้อำนาจอยู่เหนือประชาชน ส่วนประชาธิปไตยคือระบบที่ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

แต่ฉันทานุมัติของประชาชน จำต้องส่งผ่านไปยังนักการเมือง ให้ไปยกมือโหวตให้ในสภา การที่นักการเมืองไม่รักษาคำพูด และยกมือสวนทางกับที่สัญญาไว้ คือการเปิดโอกาสให้เผด็จการเข้ามาสวมหัวโขนเป็นประชาธิปไตยได้สะดวก ขัดต่อฉันทามติของคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ประชาธิปไตยของไทยจะไปในทิศทางใด จะเริ่มต้นศักราชใหม่หลังจากอึมครึมมา 5 ปี หรือจะยังคงสืบทอดอำนาจให้อยู่กับลุงตู่คนเดิมต่อไป ขึ้นอยู่กับความเชื่อของ 2 พรรคหลักที่ยังอยู่ตรงกลาง

“ถ้าคิดว่าอำนาจเป็นของประชาชน (ไม่ใช่ของลุง) #ประชาธิปไตยจะชนะ และ #เราจะชนะไปด้วยกัน”

ถ้าคิดจะเกรงกลัวเผด็จการฯ ก็ไม่ควรมีการเลือกตั้งที่ใช้งบประมาณไปกว่า 5 พันล้าน เพราะเสียงของประชาชนที่มากกว่าเกิน 2 เท่า ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และประเทศไทยจะได้รัฐบาลที่ปวกเปียกปริ่มน้ำมาบริหารประเทศแบบ 5 ปีที่ผ่านมา

ประชาชนออกไปเลือกตั้ง เพราะหวังจะได้การปกครอง “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่แท้จริง มิได้ต้องการให้การเลือกตั้งเป็นเพียงการ #ชุบตัวเผด็จการให้ดูเป็นประชาธิปไตย

อนาคตประเทศไทยอยู่ภายใต้การตัดสินใจของ 2 พรรคการเมืองที่ชื่อ…
“พรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคภูมิใจไทย” ครับ

อ่านข่าว โอ๊ค แซะใคร ? ทีคลิปตัวเองบอกโดนตัดต่อ ทีคลิปเสียงคนอื่นดันเอาออกอากาศ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน