ปลุกผีภาษีทักษิณ

ใบตองแห้ง

11 ปีที่แล้ว ทักษิณ ชินวัตร ขายหุ้นชินคอร์ป 73,000 ล้าน จนถูกประณาม “ขายชินขายชาติ” ขายในตลาดหุ้น “ทำไมไม่เสียภาษี” เกิดม็อบพันธมิตรขับไล่ ยุบสภาแล้วยังจี้ให้ลาออก บอยคอตเลือกตั้ง เรียกหานายกฯพระราชทาน กระทั่งออกบัตรเชิญรัฐประหาร

รัฐประหาร”49 ตั้งคตส.มาสอบสวนเอาผิด จนศาลตัดสินจำคุก 2 ปี แม้ไม่สามารถพิสูจน์ว่าทุจริตแต่ติดคุก เพราะศาลตีความว่าการเซ็นชื่อให้เมียซื้อที่ดินของกองทุนฟื้นฟูฯ ผ่านการประมูลขายทอดตลาด ขัดข้อห้ามมาตรา 100 กฎหมายป.ป.ช. ตามด้วยศาลยึดทรัพย์ 46,000 ล้าน ฐาน “ได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร=ร่ำรวยผิดปกติ” โดยตีมูลค่าหุ้นชินคอร์ปที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่วันทักษิณเป็นนายกฯ ว่าเป็นทรัพย์สินที่ “ได้มาโดยไม่สมควร”

11 ปีผ่านไป ความพยายามอย่างเดียวที่ยังไม่บรรลุผล คือความพยายามเก็บภาษีทักษิณ ก็หวนกลับมาใหม่ ด้วยการใช้ “อภินิหาร” ในการตีความกฎหมาย ระดมเกจิอาจารย์จนคิดออก ในสิ่งที่กรมสรรพากรบอกว่ายุติแล้ว ไม่สามารถเรียกเก็บภาษีทักษิณ

ซึ่งก็ทำให้กรมสรรพากรถูกข่มขู่จากผู้รักชาติรักแผ่นดินว่า จะเอาเข้าคุก เพราะในประเทศนี้ ใครบังอาจตีความไม่เป็นผลร้ายกับทักษิณคือพวกคนเลว

ที่ผ่านมาทำไมถึงเก็บภาษีทักษิณไม่สำเร็จ ย้อนกลับไปดูก็จะเห็นปัญหาการตีความกฎหมายที่สับสนอลเวง กระทั่งขัดกันเอง

อันดับแรก ใช่เลย ทักษิณขายหุ้นในตลาดไม่เสียภาษี แต่คตส.หาช่องตีความได้ว่า การที่ทักษิณโอนหุ้นให้บริษัทแอมเพิลริช แล้วแอมเพิลริชโอนหุ้นให้ โอ๊ค-เอม ในราคาพาร์ 1 บาท ซึ่งต่อมาก็ขายให้เทมาเส็ก (ม็อบสมัยนั้นเรียกสิงคโปร์โตก) เกิดส่วนต่างถือเป็นเงินได้ โอ๊ค-เอมต้องเสียภาษี

ฟังดูเข้าที ผมยังเผลอคล้อยตามสรรพากรเรียกเก็บ 12,000 ล้าน ไม่จ่ายก็ฟ้องศาลภาษี แต่พอดีศาลฎีกายึดทรัพย์โดยตีความว่าหุ้นยังเป็นของทักษิณ (ถ้าไม่ตีความว่าเป็นของทักษิณ ก็ไม่เข้าองค์ประกอบให้ยึดทรัพย์)

โอ๊ค-เอมยกมาโต้ในศาลภาษี ก็ศาลฎีกาบอกว่าหุ้นยังเป็นของพ่อ จะให้ลูกเสียภาษีได้ไง ศาลภาษีจะแย้งศาลฎีกาได้ที่ไหน ก็เลยตัดสินว่าเก็บภาษีไม่ได้ เพราะไม่ใช่เจ้าของหุ้น

คดีถึงที่สุด เพราะสรรพากรไม่อุทธรณ์ ศาลตัดสิน 29 ธ.ค.2553 จนยิ่งลักษณ์ชนะเลือกตั้งจึงโวยวายกัน ทำไมไม่อุทธรณ์ แต่ถ้าดูประเด็นกฎหมาย ก็ถูกแล้ว สรรพากรจะอ้างอะไรไปสู้คำพิพากษาศาลฎีกา

กระทั่ง สุภา ปิยะจิตติ ที่วันนั้นเป็นรองปลัดคลัง ยังลงนามเห็นชอบตามที่สรรพากรเสนอไม่อุทธรณ์ เพียงแต่สุภาให้ย้อนกลับไปเก็บภาษีทักษิณ ซึ่งสรรพากรไม่เห็นด้วย เห็นว่าถ้าเป็นทักษิณขายเองก็กลับไปเข้าเกณฑ์ขายในตลาดไม่เสียภาษี

เรื่องนี้ค้างตั้งแต่ปี 2554 โดยยังพ่วงประเด็นอายุความ เพราะทักษิณขายหุ้นปี”49 ต้องเสียภาษีภายใน 31 มี.ค.2550 ถ้าสรรพากรเห็นว่าเลี่ยงภาษี ต้องเรียกตรวจสอบภายใน 5 ปี คือ 31 มี.ค.2555 และต้องประเมินภาษีใน 10 ปี คือ 31 มี.ค.2560 แต่ถ้าไม่ออกเรียกตรวจสอบ ก็ไม่มีอำนาจประเมินภาษีแม้ยังไม่หมดอายุความ

หลังรัฐประหาร”57 ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้นัก จน 28 ก.ค.59 ศาลอาญาตัดสินจำคุกอดีตผู้บริหารกรมสรรพากร นำโดยเบญจา หลุยเจริญ ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ วินิจฉัยเมื่อปี”48 ว่าโอ๊ค-เอมซื้อหุ้นราคาพาร์จากแอมเพิลริชไม่ต้องเสียภาษี จึงฮือฮาขึ้นมาใหม่

สตง.จี้สรรพากรให้กลับไปเก็บภาษีทักษิณ ให้ใช้อำนาจรัฐมนตรีคลังตามมาตรา 3 อัฏฐ ประมวลรัษฎากร ขยายเวลาเรียกตรวจสอบ 5 ปี แต่กรมสรรพากร (ที่อยู่ในรัฐบาลลุงตู่มา 3 ปี) ก็ยังยืนยันความเห็นเดิม (เหมือนยุคยิ่งลักษณ์) ว่าทักษิณขายหุ้นในตลาดไม่ต้องเสียภาษี ขณะที่ประเด็นอายุความ กก.วินิจฉัยภาษีอากร กระทรวงการคลัง ก็ยืนยันว่าขยายเวลาไม่ได้ กฎหมายให้ขยายเฉพาะที่เป็นคุณแก่ผู้เสียภาษี ไม่สามารถให้โทษแก่ผู้เสียภาษี

เท่านั้นละครับ โลกจะแตก สตง. ปชป. พธม.รวมทั้งสื่อ แห่ออกมาขู่เอาสรรพากรเข้าคุก กระทบชิ่งรัฐบาลว่าที่ทำท่าปรองดองๆ นี่จะเกี้ยเซี้ยกับทักกี้หรือเปล่า ร้อนถึงเกจิบริกรต้องใช้อภินิหาร ตีความว่าเมื่อศาลระบุว่า โอ๊ค-เอมเป็นนอมินีทักษิณ การที่กรมสรรพากรเคยเรียกตรวจสอบโอ๊ค-เอมแล้ว ก็ซ.ต.พ.ถือว่าได้เรียกตรวจสอบทักษิณก่อน 31 มี.ค.55 แล้วนั่นเอง ดังนั้น ในเวลาที่เหลือ 16 วันก็ประเมินภาษีทักษิณได้ ไชโย!

ไชโยสิครับ รอไรอยู่ ประเทศนี้ก็อยู่กันแบบนี้แหละ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน