เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 มี.ค. ที่ห้องพระราม 9 โรงแรมเอสซีปาร์ค นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แถลงข่าวกรณีรัฐบาลพยายามเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปเมื่อปี 2549 จำนวน 329.2 ล้านหุ้นว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใครมีเจตนาไม่ชำระภาษี แต่การขายหุ้นดังกล่าวนั้นไม่มีภาระภาษีตามกฎหมาย เนื่องจาก 1.เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาในปี 2553 ซึ่งสรุปความตอนหนึ่งได้ว่าหุ้นในชินคอร์ปที่รวมขายให้กลุ่มเทมาเส็กในปี 2549 นั้น นายทักษิณและภรรยา ยังคงไว้ซึ่งหุ้นชินคอร์ปดังกล่าว

นอกจากนั้น ศาลภาษีอากรกลางก็เคยมีคำพิพากษาสรุปความตอนหนึ่งได้ว่าหุ้นที่นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ซื้อมาจากแอมเพิลริชเป็นหุ้นของนายทักษิณและภรรยา โดยนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาถือหุ้นไว้แทน และมิใช่เจ้าของแท้จริงของหุ้น ที่มีข่าวว่าเจ้าหน้าที่จะประเมินภาษีในส่วนการโอนหุ้นโดยแอมเพิลริช 329.2 ล้านหุ้นไปให้นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ตนมีความเห็นสอดคล้องกับนักกฎหมายภาษี ว่าเมื่อหุ้นดังกล่าวยังคงเป็นหุ้นของนายทักษิณและภรรยา ไม่ใช่หุ้นของแอมเพิลริช

เจ้าหน้าที่จะสรุปว่ามีการซื้อขายหุ้นดังกล่าวระหว่างแอมเพิลริช และนายพานทองแท้กับ น.ส.พินทองทาได้อย่างไร ธุรกรรมซื้อขายดังกล่าวจึงถือเสมือนว่าไม่ได้เกิดขึ้น จึงไม่มีเงินได้และภาระภาษี เพราะหุ้นเป็นกรรมสิทธิ์ของนายทักษิณและภรรยามาแต่ต้น ท่านจะไปซื้อหุ้นซึ่งเป็นของตนเองอยู่แล้วหรือขายหุ้นของตนเองให้ตนเองได้อย่างไร ดังนั้นจึงไม่มีเงินได้และภาระภาษี

นายนพดล กล่าวต่อว่า 2.นอกจากนั้นการขายหุ้นชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็กกระทำผ่านตลาดหลักทรัพย์จึงไม่มีภาระภาษี ทั้งนี้ เป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ข้อ2 (23) ซึ่งกฎหมายนี้ใช้บังคับกับทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น นอกจากนั้นเงินได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปและเงินปันผลจากหุ้นประมาณ 46,000 ล้านบาท ถูกยึดตกเป็นของแผ่นดินไปตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว 3.การขายหุ้นชินคอร์ปเกิดขึ้นมาสิบปีแล้ว ตนคิดว่าประเด็นภาษีเกี่ยวกับเรื่องนี้น่าจะได้ข้อยุติไปนานแล้ว

แม้แต่รองนายกฯ ยังให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้กรมสรรพากรระบุอาจดำเนินการไม่ได้ แต่มีการอธิบายว่าเป็นอภินิหารทางกฎหมาย เพราะเจอช่องทางที่สมควรจะเสี่ยงดูในเรื่องที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ หลายคนตั้งคำถามว่าจะเสี่ยงไปทำไมในเมื่อกรมสรรพากรให้ความเห็นชัดเจนไปแล้ว ซึ่งโดยส่วนตัวศึกษากฎหมายมาก็เพิ่งเคยได้ยินคำว่าอภินิหารทางกฎหมายเป็นครั้งแรก แต่ที่ได้ยินมานานและเห็นว่าสิ่งที่นักกฎหมายต้องปฏิบัติตาม คือหลักนิติธรรม ตนเห็นว่าในยามที่เราต้องการสร้างความปรองดอง หลักนิติธรรมจะนำเราไปสู่ความปรองดองแน่นอน ไม่ต้องเสี่ยง

“ทักษิณเคยพูดว่าท่านเป็นหนูตัวเล็กๆ อายุก็ 68 ปี แล้ว อยู่ต่างประเทศเงียบๆ แต่ก็ยังรักและปรารถนาดีต่อประเทศเสมอมา ท่านก็หวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมในเรื่องนี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร พิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบและบังคับใช้กฎหมายตามหลักนิติธรรม เท่าเทียม เสมอภาค เชื่อว่ากรมสรรพากรเป็นผู้มีความรู้เรื่องกฎหมายภาษีเป็นอย่างดี และได้พิจารณาเรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ปโดยสุจริต ถ้าท่านปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ ก็จะได้รับความคุ้มครองและไม่ถูกฟ้องตามมาตรา 157 และการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยงานของรัฐ และช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศอีกด้วย

เมื่อถามว่า ถ้ากรมสรรพากรมีการออกใบกำกับภาษีให้นายทักษิณ จะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นายนพดล กล่าวว่า ถ้ามีการประเมินแล้วเรื่องต้องไปสู่กระบวนการยุติธรรม ตนคิดว่าจะมีการแต่งตั้งทนายความ หรือที่ปรึกษาทางกฎหมาย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ต่อไป ส่วนจะฟ้องร้องใครในชั้นต้น ขณะนี้ยังไม่สามารถพูดได้ เพราะเป็นเรื่องที่ทีมทนายความต้องไปพิจารณาก่อน แต่โดยหลักเราต้องรักษาสิทธิที่พึงมีของนายทักษิณ

เมื่อถามว่า สตง.แย้งว่าสามารถเรียกเก็บภาษีได้ ใช้ตามช่องทางมาตรา 61 ของประมวลรัษฎากร สามารถทำได้หรือไม่ นายนพดล กล่าวว่า มองว่าเรื่องนี้จบไปแล้ว การจะประเมินภาษีนายทักษิณต้องใช้มาตรา 19 ของประมวลรัษฎากร ซึ่งเจ้าหน้าที่ประเมินจะต้องออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีภายใน 5 ปี แต่ขณะนี้ผ่านพ้นเวลานั้นมาแล้ว ในความเห็นของเราจบไปแล้ว และขาดอายุความไปแล้ว

ส่วนที่ทางรัฐอ้างว่ามีช่องทางในการดำเนินการ เรื่องนี้ทางทนายความต้องไปศึกษา คงมีประเด็นข้อต่อสู้ที่ไม่จำเป็นต้องพูดในช่วงนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องความเห็นทางกฎหมายที่ต่างกัน แม้กระทั่งกรมสรรพากรที่เชี่ยวชาญในเรื่องภาษีระบุว่าทำไม่ได้

ส่วนที่ผู้มีอำนาจระบุว่า การเรียกประเมินภาษีนายพานท้องแท้ และน.ส.พินทองทา เปรียบเสมือนเรียกประเมินภาษีไปยังนายทักษิณแล้ว ซึ่งก็เป็นข้อโต้แย้งของฝ่ายที่จะประเมินภาษี แต่ฝ่ายที่ถูกประเมินมีความเห็นว่าเรื่องนี้จบสิ้น และขาดอายุความไปแล้ว ต้องนำเสนอความเห็นทางกระบวนการกฎหมายต่อไป ส่วนที่รัฐระบุว่าส่งหมายให้นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทาถือ เสมือนว่าส่งให้ตัวการนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทาถือหุ้นแทนนายทักษิณ แต่ไม่ใช่ตัวแทนนายทักษิณ ซึ่งภาษาอังกฤษของการถือหุ้นแทนใช้คำว่านอมินี แต่คำว่าตัวแทนคือคำว่าเอเจนท์ ตัวการ คือพริ้นซิเพิล

เมื่อถามว่า โดยหลักกฎหมายจะอ้างได้หรือไม่ว่าแจ้งไปที่ผู้ถือหุ้นแทนแล้ว นายนพดล กล่าวว่า ตนมองว่าอ้างไม่ได้ แต่รัฐบาลคงมองว่าอ้างได้ นี่คือมิราเคิลออฟลอว์ หรืออภินิหารทางกฎหมายที่พูดถึงกัน

เมื่อถามว่า กรมสรรพากรได้ส่งใบประเมินภาษีถึงนายทักษิณแล้วหรือยัง นายนพดล กล่าวว่า ไม่ทราบว่าส่งถึงหรือยัง เพราะไม่มีข้อมูลในเรื่องนี้ โดยส่วนตัวตนยังไม่เห็น และเป็นสิทธิของกรมสรรพากรว่าเรื่องใดทำได้ เรื่องใดทำไม่ได้ ซึ่งเป็นสิทธิ เสรีภาพการแสดงความเห็นที่สังคมพึงมี แต่ตนขอพูดถึงในเนื้อหาข้อกฎหมาย ไม่ประสงค์ที่จะให้ความเห็นทางการเมือง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน