ปิยบุตร จับตาต่อแนววินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 32 ส.ส.ถือหุ้นสื่อ เทียบศาลฎีกา ชี้น่าเสียดายศาลเพิ่งบอก “สั่งธนาธรยุติปฏิบัติหน้าที่” เพราะกกต.ส่งงบการเงินด้วย

วันที่ 26 มิ.ย. ที่หอประชุมใหญ่ทีโอที นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แถลงถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้อง ส.ส.ถือหุ้นสื่อ จำนวน 32 รายและไม่รับคำร้อง 9 ราย ว่า เราตั้งข้อสังเกตว่าดูเหมือนศาลรัฐธรรมนูญจะใช้เกณฑ์ในการพิจารณาที่แตกต่างจากแนวทางของศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง ที่พิจารณาแต่เพียงหนังสือบริคณห์สนธิดู วัตถุประสงค์เรียงข้อและมีการตัดสิทธิ์เลือกตั้งไปแล้ว 2 ราย

ดังนั้นแนวแบบนี้ตนยังไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุดแล้วศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินแบบใดแต่จากเอกสารที่ออกมานั้นดูเหมือนศาลรัฐธรรมนูญจะบอกว่าไม่ได้ดูแต่เหตุผลในหนังสือบริคณห์สนธิเท่านั้นและความประสงค์จะทำกิจการเท่านั้นแต่ดูว่าประกอบกิจการจริงๆหรือไม่

“สิ่งที่ผมฝากเอาไว้ในท้ายที่สุดแล้วเมื่อมีการวินิจฉัยลงไปในเนื้อถึงคดีศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาหรือไม่ ถ้าหากไม่เหมือนแสดงว่า 2 รายที่ถูกศาลพิจารณาตัดสิทธิ์เลือกตั้งไปแล้วเขาจะกลายเป็น 2 รายเท่านั้นที่ถูกตัดสิทธิ์ส่วนรายอื่นใช้เกณฑ์อื่นต้องฝากให้พิจารณาต่อไป” นายปิยบุตรกล่าว

นายปิยบุตรกล่าวว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเอาไว้ 32 รายโดยไม่สั่งให้ยุติการปฎิบัติหน้าที่ โดยให้เหตุผลว่ากรณี 41 รายที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นไปเป็นการยื่นโดย ส.ส.เข้าชื่อไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงใน ขณะที่คดีของนายธนาธร ผ่านกกต.มา

ขอชี้แจงว่ากรณีของนายธนาธรแม้จะผ่านกกต.และมีการไต่สวนข้อเท็จจริง แต่การไต่สวนข้อเท็จจริงนั้นมีปัญหาเรื่องมาตรฐานและการไม่ให้สิทธิ์แก่ผู้ถูกกล่าวหาอย่างเพียงพอ เช่น การเปิดโอกาสให้นายธนาธรไปชี้แจงเพียง 1 ครั้ง มีหนังสือเรียกให้นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของนายธนาธร ไปสอบสวนเรียกตอนเช้าแต่หนังสือถึงบ่ายเป็นต้น

นายปิยบุตร กล่าวว่า นอกจากนั้นศาลรัฐธรรมนูญยังให้เกณฑ์เพิ่มเติมว่าเราจะดูจากใบบอจ.อย่างเดียวไม่ได้ จำเป็นที่ต้องดูแบบแสดงรายการการประกอบธุรกิจของห้างหุ้นส่วนบริษัท (สสช.1) หรือต้องดูแบบนำส่งงบการเงินของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทด้วยว่ามีรายได้จากการประกอบกิจการใด ซึ่งเรื่องร้องนายธนาธรได้ส่งเอกสารเหล่านี้ไปที่กกต.ด้วย

ในขณะที่ 41 รายชื่อที่ส.ส.อนาคตใหม่ร้องไปนั้นมีเพียงใบบอจ. จึงไม่เป็นเหตุอันควรสงสัยได้ว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องจริงก็เลยไม่ด้สั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่

ขอให้สังเกตทิ้งท้ายว่าศาลรัฐธรรมนูญนั้นปราถนาดีตามที่สังคมกำลังตั้งคำถามถึงมาตรฐานจะเท่าเทียมกันหรือไม่ ศาลจึงทิ้งท้ายแถมมาให้ในเอกสารข่าว ซึ่งคำร้องของเราไม่ได้มีระบุไว้

“โดยในตอนท้ายอ้างถึงคดีธนาธรที่สั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ต้องมีแบบสสช. 1 แบบงบการเงินประกอบด้วย จึงเป็นที่น่าเสียดายว่าถ้าพูดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อมีมติกรณีนายธนาธรเราก็จะได้รู้ว่าท่านใช้มาตรฐานนี้ในการดูเราจะได้เตรียมแบบสสช. 1 และงบการเงินไปด้วย” นายปิยบุตรกล่าว

นายปิยบุตร กล่าวว่า ดังนั้นจึงอยากเรียนไปยังท่านอื่นๆ ที่อยากจะยื่นคำร้องในเรื่องนี้ ถ้าร้องโดยส.ส.จะไม่มีการไต่สวนจึงต้องไปร้องที่กกต.แล้วให้กกต.ส่งจึงต้องจับตาดูในส่วนที่มีบุคคลจำนวนมากไปร้องรายชื่อซ้ำๆกับ 41 รายชื่อนี้ที่กกต.ว่าจะมีการไต่สวนอย่างไรและใช้ระยะเวลาเท่าใดจะใช้เวลา 57 วันเหมือนกรณีนายธนาธรหรือไม่

นอกจากนั้นหากจะร้องขอให้แนบแบบสสช. 1 และแบบงบการเงินไปด้วยเพระศาลรัฐธรรมนูญได้วางมาตรฐานไว้ให้เราแล้วอย่างไรก็ตามในกรณี32 รายเราหวังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะใช้มาตรฐานเทียบเคียงกับกรณี2 ส.ส.ที่ถูกตัดสิทธิ์ไปก่อนหน้านี้ด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน