“ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์” นักวิชาการชื่อดัง รับกลางเวทีเสวนา เมื่อก่อนเคยเกลียดทักษิณ แต่สุดท้ายต้องเปลี่ยนความคิด ทำให้รู้ว่าไม่มีอะไรทำไม่ได้

เมื่อวันเสาร์ที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุม 14 ตุลา ชมรมสมัชชาสิงห์ดำ และสำนักพิมพ์สำนักนิสิตสามย่าน จัดงานเสวนา “13 ปี รัฐประหาร’49 ก้าวพ้นหรือย่ำวนในวงจรของทรราชย์?” “พอหรือยังกับรัฐประหาร พอหรือยังกับผู้นำเผด็จการ นางผาสุก พงษ์ไพจิตร อ.ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย นายธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต และนายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อ.คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร

ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต

ตอนหนึ่ง ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง 62 เป็นกระบวนการรักษาอำนาจทางการเมือง ซึ่งผลก็เป็นไปตามแผนที่ถูกวางไว้ แต่แผนที่ไม่อาจคาดถึงคือปัจจัยใหม่ๆ คือ เกิดพรรคคนหนุ่มสาวที่ได้คะแนนเสียงเยอะอยู่นอกการคาดการณ์ ย้อนกลับไป 13 ปีที่แล้ว ตนเกลียดทักษิณ เพราะภายในการเป็นบริบทอาจารย์ในไทยไม่ว่ายุคไหน นักวิชาการอาจเหมือนกระบอกเสียงของสังคมที่จะวิพากษ์รัฐบาล

แต่สุดท้ายเดินไปสู่ข้อหามากมาย ปรากฏการณ์ของยุคทักษิณคือตนถูกคนโทร.ไปด่าหลังให้สัมภาษณ์ว่าไม่เชื่อว่ามีทองคำในถ้ำลิเจีย 5 พันล้าน โดยตนถูกมองว่าไปวิพากษ์ทักษิณ ต่อมายังถูกไอทีวีฟ้อง 80 ล้าน จากการเขียนบทความ 70 บรรทัด ได้เงินมา 1,000 บาทในหนังสือพิมพ์ที่ไม่มีใครอ่าน ต้องขึ้นศาล 2 ปี แต่พอไปสิงคโปร์ มองกลับมายังไทย รู้สึกเห็นโลกกลับตาลปัตร มานั่งคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยกันแน่

“ก่อนรัฐประหาร 49 ทักษิณทำให้นักวิชาการถอยออกจากการปกป้องประชาธิปไตย นี่คือสิ่งที่อยากชี้ให้เห็นว่าบทบาททางการเมืองของปัญญาชนที่มีส่วนร่วมกับรัฐประหาร 49 ถามว่า รัฐประหารครั้งนั้นเสียของจริงหรือ ผมเชื่อว่ากลับทำให้ได้ของที่อยากได้ โดยรอคอยจังหวะและเวลา กรณี คสช.เป็นรัฐบาลที่รวมดาวอดีต ผบ.ทบ.มากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ก่อนหน้านั้นไม่เคยมี เพราะเป็นการรอคอยมานาน” ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์กล่าว

ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์กล่าวต่อว่า เราถูกปลูกฝังให้รับการรัฐประหารอย่างไม่มีข้อแม้ และเกลียดนักกการเมืองจากการเลือกตั้งซึ่งถูกตราหน้าว่าซื้อเสียง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทักษิณเปลี่ยนความคิดของตนคือ ทำให้รู้ว่าไม่มีอะไรทำไม่ได้ เช่น รถเมล์ฟรี ส่วนกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงในหน้าประวัติศาสตร์ กลับถูกกระทำเหมือนทาส โดนเรียกว่า “อีปู” แทนที่จะโห่ร้องว่าเป็นชัยชนะของสตรี


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน