พิชัย อัด บิ๊กตู่ ไม่ไหวอย่าฝืน ชี้พูดจาสับสนเหมือนหลงทาง ยก 5 ข้อปรับหลักคิดตนก่อน

เมื่อวันที่ 29 พ.ย. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ รมว. กลาโหม และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ไปพูดในงานพิธีประกาศและมอบรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards และรางวัล SMEs Excellence Awards 2019

ซึ่งเมื่อฟังแล้วเหมือนพูดจาสับสน คล้ายคนหลงทาง ไม่แน่ใจว่าต้องการจะตอบคนที่วิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่จากฝีมือการบริหารของรัฐบาลใช่หรือไม่ จึงขอตั้งข้อสังเกตให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาและพิจารณา 5 ข้อดังนี้

1. ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าตลอดเวลา 5 ปี คาดการณ์อยู่แล้วว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงเร็วจากเทคโนโลยีและได้เตรียมการ อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์อธิบายว่าได้เตรียมการอะไรบ้าง เพราะเท่าที่ฟังมาตลอด 5 ปี ไม่เคยที่พล.อ.ประยุทธ์คิดถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกนี้เลย ถ้าคิดถึงคงไม่เอาประเทศไปจมปลักกับการปฏิวัติที่ประเทศไม่ได้พัฒนามา 5 ปี การลงทุนของไทยตามการเปลี่ยนแปลงของโลกหยุดชะงัก วิสัยทัศน์ที่ก้าวทันโลกไม่เคยปรากฏ มีแต่เรื่อง ปลูกหมามุ่ยแทนปลูกข้าว เมื่อเกิดน้ำท่วมให้เลี้ยงปลา ให้ท่องจินดามณี ให้อ่านแอนนิมอลฟาร์มที่ด่าเผด็จการ

ที่คิดนอกกรอบก็มีแค่ส่งออกยางพาราไปดาวอังคารเท่านั้น ไม่ได้มีการเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงเลย ขนาดบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในระดับที่เรียกว่ายูนิคอร์นก็ไม่เกิดในไทย ขณะที่ประเทศในอาเซียนมีกันหมด จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ศึกษารายละเอียดและเตรียมการจริงๆ อย่าสักแต่ว่าพูด โดยไม่ดูผลงานตัวเอง หรือพูดเพราะเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าไทยกำลังจะตกยุครวดเร็วแล้ว จากโรงงานกว่าพันแห่งที่ปิดตัวลง แม้จะสายไปบ้างแต่ก็ดีกว่าพูดแบบไม่รู้เรื่อง

2. การที่ พล.อ.ประยุทธ์เข้าใจดีว่าปัจจุบันเป็นสงครามทางเศรษฐกิจ ก็น่าจะต้องมุ่งเน้นการใช้งบประมาณในการพัฒนาเศรษฐกิจให้มากๆ งบประมาณทางการทหารก็ควรจะต้องลดลงไม่ใช่เพิ่มขึ้น 4.37% ทุกปีมาตลอด 5 ปี ถ้าหากพล.อ.ประยุทธ์ตามการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีจริงตามที่พูด จะพบว่าเทคโนโลยีทางอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก

เช่น มีการใช้ Ai หุ่นยนต์ และโดรนในการทำสงครามโจมตี เป็นต้น อาวุธที่จัดซื้อกันในปัจจุบันจะล้าสมัยอย่างรวดเร็วและจะเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ อีกทั้งการลดการเกณฑ์ทหารก็จะช่วยลดงบประมาณทางการทหารด้วย และยังจะช่วยเพิ่มแรงงานในภาคการผลิตและภาคบริการให้มากขึ้น การรบสมัยใหม่มีการใช้กำลังพลน้อยลงมาก โดยจะมุ่งเน้นเทคโนโลยีชั้นสูงเป็นหลัก ความจำเป็นที่จะต้องมีกำลังพลจำนวนมากจึงไม่มีแล้ว อีกทั้งยังไม่เห็นว่าไทยจะไปรบกับใคร

3. การที่พล.อ.ประยุทธ์เข้าใจว่าต่างประเทศให้ความชื่นชมในช่วงเวลาที่เดินทางไปเยือนต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์น่าจะเข้าใจผิดในเรื่องมารยาทการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ได้อ่านบทความในสื่อหลักต่างประเทศแทบทุกสำนักที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์อย่างเสียหายมาโดยตลอด พล.อ.ประยุทธ์จะไม่กล้าพูดแบบนี้เลย

4. การที่ พล.อ.ประยุทธ์เตือนไม่ให้ภาคธุรกิจอย่าเห็นแก่กำไร แสดงถึงความไม่เข้าใจในระบบเศรษฐกิจ เป็นเรื่องปกติที่หน่วยธุรกิจต้องเห็นแก่กำไร สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ควรทำคือไม่เอื้อประโยชน์กับนายทุนมากเกินไป ต้องไม่ส่งเสริมการผูกขาดของธุรกิจ ซึ่งตลอด 5 ปี นายทุนที่สนับสนุนรัฐบาลร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาลในขณะที่ประชาชนจนลงกันหมด หน่วยธุรกิจส่วนใหญ่โดยเฉพาะ SMEs อย่าว่าแต่กำไรเลย ตอนนี้ยังเอาตัวจะไม่รอด ขาดทุนกันถ้วนหน้า จนจะปิดกิจการกันเป็นจำนวนมากแล้ว

5. การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ประชาชนอย่าพูดการเมือง ให้พูดถึงเศรษฐกิจมากๆ ซึ่งตรงข้ามกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่ไม่อยากให้ประชาชนพูดเรื่องเศรษฐกิจที่กำลังแย่ แสดงถึงความสับสนในทีมเศรษฐกิจ ไปที่ไหนก็มีแต่คนบ่นเรื่องเศรษฐกิจย่ำแย่ ไม่มีใครไม่พูดถึงเรื่องนี้ และที่พวกเขาพูดการเมือง เพราะพวกเขาคิดว่าการเมืองทำให้เศรษฐกิจแย่จากฝีมือการบริหารของรัฐบาล ไม่ทราบว่าพล.อ.ประยุทธ์จะให้ประชาชนมีหลักคิดใหม่อย่างไร

ทั้งนี้ อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ศึกษาแนวคิดเศรษฐกิจให้ครบกรอบก่อนที่จะพูด และน่าจะเป็นพล.อ.ประยุทธ์ ที่จะต้องปรับหลักคิดใหม่ เพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลก อยากให้พิจารณาอย่างจริงจังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะมีความรู้ความสามารถเพียงพอ ที่จะนำพาประเทศไทยฝ่าฟันการเปลี่ยนแปลงของโลกไหวหรือไม่ ไม่ไหวอย่าฝืน เพราะปัจจุบันประชาชนจำนวนมากเริ่มหมดความหวังกับรัฐบาลแล้ว


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน