“บิ๊กตู่”ประชุมหัวหน้าส่วนราชการสั่งปรับรูปแบบทำงานให้ไว สำเร็จใน 1 ปี บ่นอุบตามใช้หนี้ โครงการจำนำข้าว ทำหลายอย่างสะดุด ยันกฎหมายคุมสื่อจำเป็นต้องมี เพราะสื่อคุมกันเองไม่ได้ สปท.นัดถก 1 พ.ค. กมธ.ยึดหลักการเดิม สื่อไม่ขึ้นทะเบียนเจอคุก 3 ปี มี 2 ปลัดนั่งกก.สภาวิชาชีพ “ปู”โต้ทันควัน ยันจำนำข้าวช่วยชาวนาได้จริง ดีกว่าซื้อเรือดำน้ำทั้งที่เศรษฐกิจฟุบ “วิษณุ”ชี้ถ้าจะยกเลิกจัดซื้อ ต้องรอรัฐบาลใหม่ “ศรีสุวรรณ”มาตามนัด ยื่นสตง.ตรวจสอบ “แม้ว”อุทธรณ์แล้ว ปมภาษีหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้าน ศาลแพ่งสั่ง “ศิริโชค”ชดใช้ 2 ล. คดีหมิ่นนักธุรกิจดัง

“บิ๊กตู่”ประชุมหน.ส่วนราชการ

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 27 เม.ย. ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 3/2560 เพื่อติดตามงานที่มอบให้ไปปฏิบัติ ซึ่งก่อนการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ ถวายสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 4 และถ่ายภาพร่วมกับผู้บริหารกระทรวง บริเวณลานน้ำพุ ก่อนเยี่ยมชมนิทรรศการ ที่บริเวณโถงชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า

พล.อ.ประยุทธ์ แถลงภายหลังการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้เน้นปรับรูปแบบการทำงานให้รวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องการเชื่อมโยงกับประชาชน และการใช้จ่ายงบประมาณที่กำลังจะเข้าสภาในเร็วๆ นี้ เน้นแผนการทำงานในการวิจัยพัฒนาเน้นงานที่มีผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 ปีเป็นหลัก เพื่อให้ถึงมือประชาชนโดยเร็ว หลายอย่างไม่อยากให้สื่อมวลชน ประชาชน หรือสังคม มองว่าสิ่งไหนสำคัญกว่า มันสำคัญพอกันทั้งหมด หลักการของทุกประเทศที่ตนไปมาเขาพูดมาอยู่ คำหนึ่งว่า

สิ่งสำคัญที่จะพัฒนาประเทศและดูแลประชาชนได้มากที่สุดคือเรื่องความมั่นคง การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน สร้างเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคง ซึ่งจะเป็นแหล่งกำเนิดให้เราทำเรื่องอื่นๆได้ ถ้าบ้านเมืองยังวุ่นวาย สับสน อลม่านอยู่ มันก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น จะไม่นำไปสู่การแก้ปัญหาประชาชนได้อย่างแท้จริง

อัดจำนำข้าวผลาญงบฯ อื้อ

“รัฐบาลนี้ใช้จ่ายงบประมาณหลายแสนล้านดูแลเกษตรกร ปัญหาที่เป็นของเดิมคือการใช้จ่ายในรัฐบาลที่ผ่านมาที่มีปัญหาในเรื่องโครงการรับจำนำข้าว ทำให้สูญเสีย งบประมาณจำนวนมาก เราต้องมาผ่อนชำระ ชดใช้หนี้ต่างๆ ในระบบการเงินการคลังของประเทศ ทำให้หลายอย่างติดขัด จึงอยากเรียนให้สังคมเข้าใจด้วย อย่าเอาหลายอย่างมาปะปนกัน วันนี้การเดินหน้าทางการเมืองก็เดินหน้าไปตามโรดแม็ปอยู่ทุกประการ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลนี้ดำเนินการจะครบ 3 ปีในเดือนหน้านี้ ตนทราบดีว่าปัญหาทุกอย่างยังแก้ไขไม่หมด แต่พยายามจะแก้ไขให้ได้มากที่สุด เพื่ออนาคตในวันหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งที่มีธรรมาภิบาล ส่วนไหนที่เป็นปัญหาความเดือดร้อนหรือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควร ตนพร้อมรับในการพิจารณาแก้ไขดำเนินการ ทำให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในทุกๆ เรื่อง

ยันกม.คุมสื่อไม่ปิดกั้นใคร

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ถึงร่างพ.ร.บ. การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน โดยปรับปรุงเนื้อหาที่หลายฝ่ายเป็นห่วงว่า เรื่องนี้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ไม่ได้มีการหารือเพียงแต่เป็นแนวคิดต่างๆ ขึ้นมา ตนเพียงบอกว่าให้ไปศึกษาดูว่าต่างประเทศทำอย่างไรกัน ยืนยันว่าไม่ได้โทษพวกเรา แต่เป็นเรื่องของคนไม่ดีมาทำให้หลายอย่างเกิดปัญหาในการบริหารจัดการในการทำงาน ทุกประเทศมีเหมือนกันโดยเฉพาะปัญหาจากการใช้สื่อโซเชี่ยลมีเดีย ก็ต้องให้หลักการพื้นฐานที่ต่างประเทศยอมรับและรับรอง

ขอให้เข้าใจว่าเราไม่ได้ต้องการไปปิดกั้นใครใดๆ ทั้งสิ้น พวกเราเองก็ต้องช่วยกันหารือ และหาทางออกว่าจะทำอย่างไรให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ ให้ทุกสื่อเป็นสื่อของประชาชนอย่างแท้จริงและต้องแยกให้ออกว่าประชาชนนั้นมีทั้งคนดี และไม่ดี ต้องดูว่าเราจะกลายเป็นเครื่องมือของคนไม่ดีหรือเปล่า รัฐบาลมีความจำเป็นเพราะหลายอย่างเป็นเรื่องกฎหมาย และรัฐธรรมนูญก็กำหนดไว้

อย่าอ้างสิทธิในรธน.

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สิ่งที่อยากชี้แจงวันนี้คือรัฐธรรมนูญเป็นกรอบกฎหมายกว้าง เป็นกฎหมายของรัฐ สิ่งสำคัญที่หลายคนอาจลืมไปคือเรายังมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีกมากมายหลายฉบับ กฎหมายเหล่านี้เป็นตัวที่นำไปสู่การปฏิบัติ จะไปอ้างรัฐธรรมนูญมาตราใด มาตราหนึ่งในรัฐธรรมนูญอย่างเดียว ทั้งเรื่องสิทธิเสรีภาพ แต่ขณะเดียวกันกลับไปละเมิดพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ได้เกิดในสมัยที่ตนเข้ามาทำหน้าที่แต่เกิดมานานแล้ว เราต้องนำพ.ร.บ.เหล่านั้นมาปฏิบัติ ต้องให้ความสำคัญกับกฎหมายลูกที่จะออกมา ซึ่งจะมีการสร้างการรับรู้ให้ทราบในบทบัญญัติต่างๆ

ถ้าไม่จำเป็นเขาคงไม่ตั้งเรื่องขึ้นมา เพียงแต่วันนี้เราต้องมาหาทางออกร่วมกันว่าจะทำอย่างไร ถ้าค้านทุกเรื่องมันก็ไปไม่ได้ เกิดความวุ่นวาย แล้ววันข้างหน้าหากเกิดความวุ่นวายจะทำอย่างไร ก็ต้องฝากไว้ด้วย ยืนยันว่าสิ่งที่ทำนั้นทำเพื่อพวกเราทุกคน สื่อถือว่าเป็นคนไทย และคนทั้งหมดก็บริโภคสื่อและโซเชี่ยลมีเดีย จะเห็นได้ว่าวันนี้หลายอย่างก็ไม่ค่อยถูกต้อง โดยเฉพาะในโซเชี่ยลมีเดีย ต่างคนก็ต่างเขียนโดยไม่รับผิดชอบ ทำให้ประเทศชาติมีปัญหา หลายๆ ประเทศที่คุยกันก็ประสบปัญหาเหล่านี้ และมีความเห็นตรงกันว่าจะต้องดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะอนาคตสิ่งเหล่านี้จะมีเพิ่มมากขึ้น และกว้างขึ้นในชีวิตประจำวัน ถ้าสิทธิเสรีภาพที่เรามีไปละเมิดคนอื่นก็ต้องกลับมาดูว่าเราจะต้องทำอย่างไร

ชี้เหตุคุมกันเองไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าเห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่สปท.เสนอหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นด้วย ถ้าจะเห็นด้วยก็ต้องฟังประชาชนก่อนว่าเขาว่ากันอย่างไร สื่อว่าอย่างไร แต่สิ่งที่เห็นเป็นปัญหาคือเราเคยมอบความรับผิดชอบให้สมาคมสื่อฯ ไปแล้ว แต่พวกท่านยอมรับเองว่าท่านก็ทำไม่ได้ทั้งหมด พวกท่านก็ต้องรับตรงนี้ ถ้าทำได้กันทั้งหมดคงไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นอยู่แบบเดิมก็ได้ แต่วันนี้มันไม่ได้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาก็หาคนรับผิดชอบไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีการพูดคุยกันในเรื่องเหล่านี้

“ทุกคนต้องยอมรับ ผมยอมรับท่าน ท่านก็ยอมรับผมเหมือนกัน ในเมื่อมันมีปัญหาอยู่ก็ต้องทำให้เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน องค์กรประกอบด้วยใครบ้างก็ต้องยอมรับกัน ไม่ใช่จะมัวมาเกรงรัฐบาลมาปิดกั้นสื่อ มันไม่ใช่จะไปปิดกั้นทำไม ถ้าไม่มีสื่อแล้วผมจะทำงานได้หรือไม่ เพราะสื่อจะเป็นผู้ขยายความเข้าใจให้กับผม อะไรไม่ดีสื่อก็เตือนมาผมก็พร้อมตรวจสอบ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

“วิษณุ”ระบุรอสนช.ชี้ขาด

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อสปท.ส่งเรื่องมาให้รัฐบาล ต้องดูว่าจะทำอย่างไร เช่นเดียวกับกฎหมายอื่นๆ สำหรับข้อกังวลว่าเมื่อกฎหมายบังคับใช้แล้ว จะทำให้การทำงานของสื่อมวลชนในเรื่องการตรวจสอบไม่เป็นอิสระนั้น เมื่อออกเป็นกฎหมายก็ต้องปฏิบัติตาม ที่ผ่านมาสปท.รับฟังความคิดเห็นมาแล้ว ต่อไปจะรับฟังเพิ่มเติมหรือไม่ก็ได้ และเมื่อส่งเรื่องถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ขึ้นอยู่กับสนช.พิจารณา เช่นเดียวกับกฎหมายลูก ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ได้รับฟังความคิดเห็นมาแล้ว แต่สนช.ยังนั่งฟังความคิดเห็นอยู่

เมื่อถามว่าถึงที่สุดแล้วร่างกฎหมายดังกล่าวถูกผลักดันให้มีผลบังคับใช้จริงใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ เมื่อสปท.แจ้งมาที่รัฐบาล เราก็รับมาหมด ไม่ได้ไปแตะต้องเพิ่มเติม หรือตัดทอน เมื่อถึงเวลาก็ต้องดู เพราะที่ผ่านมาในวาระเร่งด่วนเราได้พิจารณาในกรอบกว้างๆ ว่าวาระของรัฐบาลและสปท.เรื่องการปฏิรูปมีอะไรบ้าง

สปท.เตรียมถก 1 พ.ค.

ที่รัฐสภา นายคำนูณ สิทธิสมาน เลขานุการและโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (วิปสปท.) แถลงภายหลังการประชุมว่า วันที่ 1 พ.ค. ที่ประชุมจะพิจารณารายงานการปฏิรูปของกมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านสื่อมวลชน 2 เรื่อง คือ 1.เรื่องการปฏิรูปการสื่อสารมวลชน : ร่างพ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ….. และร่างพ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ (ฉบับที่…) พ.ศ….. และ 2.เรื่องผลการศึกษาและข้อเสนอแนะด้านยุทธศาสตร์และแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปการใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์

ผู้สื่อข่าวถามว่า เนื้อหาของร่างกฎหมายคุมสื่อ ยังมีความเข้มงวด แต่กลับนำเรื่องดังกล่าวบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสปท.อีก นายคำนูณกล่าวว่า ที่ผ่านมาวิปสปท.ได้มีการพิจารณาแล้ว และมีมติให้นำกลับมา ทบทวน ตามที่วิปสปท.ได้เสนอความเห็นต่อกมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สปท. 3-4 ประเด็น ก่อนที่จะเสนอกลับมายังวิปสปท.อีกครั้ง ซึ่งจากการหารือทางกมธ.สื่อฯ ยังคงยืนยันความเห็นเดิม ว่า กมธ.ได้มีการทบทวนแล้ว และยืนยันในประเด็นที่พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานกมธ.สื่อฯ กับพล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ รองประธานกมธ.สื่อฯ ได้ออกมาแถลงข่าวความคืบหน้าการพิจารณาเป็นระยะๆ

ดังนั้น วิปสปท.จึงมีมติให้นำเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมเพื่อให้สมาชิกได้แสดงความเห็นอย่างหลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่การตอบโต้กันไปมาระหว่างตัวแทนองค์กรสื่อกับกมธ.สื่อฯ

คาดร่างกฎหมายผ่านฉลุย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการประชุมวิปสปท.ที่มีร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสปท. เป็นประธานในช่วงสายวันที่ 27 เม.ย. พล.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานกมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน สปท. ได้ยืนยันจะให้ที่ประชุมวิปสปท.เห็นชอบร่างพ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมให้สำเร็จ หลังจากกมธ.เคยนำข้อเสนอวิปสปท.กลับไปแก้ไขมาแล้ว และยอมตัดตัวแทนจากรัฐที่เข้าไปเป็นคณะกรรมการสภาวิชาชีพ จากเดิม 4 คน ลดลงเหลือ 2 คน พร้อมนำผลศึกษาเกี่ยวกับการปฏิรูปสื่อมวลชนจากต่างประเทศเข้ามายืนยันในที่ประชุม จึงเป็นเหตุให้วิปสปท.เห็นชอบ และให้ไปพิจารณาอย่างละเอียดในที่ประชุมสปท. วันที่ 1 พ.ค.นี้

รายงานข่าวจากวิปสปท. ประเมินแนวโน้มว่าที่ประชุมสปท.ในวันที่ 1 พ.ค. จะเห็นชอบตามแนวทางของกมธ. เพราะองค์ประกอบส่วนใหญ่ของสปท.เป็นข้าราชการ ประกอบกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ให้สัมภาษณ์ในทำนองเห็นด้วยกับกมธ. เนื่องจากเชื่อว่าสื่อมวลชนไม่สามารถควบคุมกันเองได้ จึงเป็นเหตุให้สปท.ตัดสินใจเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น

สื่อไม่ขึ้นทะเบียนเจอคุก3ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ…. คือการจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ทำหน้าที่กำหนดมาตรการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม มาตรฐานแห่งวิชาชีพ ตลอดจนการกำกับดูแลกันเองทางจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ จำนวน 15 คน ประกอบด้วย ผู้แทนสมาชิกสภาวิชาชีพ 7 คน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้แทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และกรรมการอื่นอีก 4 คน มีวาระดำรงตำแหน่ง 3 ปี แต่ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ ทำหน้าที่ขึ้นทะเบียน ออกและเพิกถอนใบอนุญาตแก่ ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน

โดยผู้ประกอบการวิชาชีพสื่อมวลชนต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนภายใน 2 ปี และมีบทกำหนดโทษสื่อมวลชนที่ไม่ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะเดียวกันองค์กรสื่อใดที่รับบุคคลที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนสื่อ เป็นผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน จะมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับเช่นกัน

“คณิต”มั่นใจไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

ด้านพล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานกมธ. ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สปท. กล่าวว่า เชื่อว่า สปท.จะให้ความเห็นชอบ แต่ในกระบวนการจัดทำกฎหมายยังมีหลายขั้นตอน อาทิ ผ่านรัฐบาล และสนช. ซึ่งสามารถปรับแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนได้ ยืนยันว่าเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว จะไม่ขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากระหว่างจัดทำนั้นมีนักกฎหมายที่คอยดูแลอยู่ แต่หากมีเนื้อหาใดที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เช่น มาตราว่าด้วยการไม่ทำกฎหมายที่สร้างภาระหรือละเมิดสิทธิ เสรีภาพเกินความจำเป็นนั้น ก็อาจปรับแก้ไขในประเด็นที่ขัดดังกล่าวได้

“เชื่อว่าร่างกฎหมายจะไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะหากทำขัดเท่ากับว่า ผมเหนื่อยฟรี และเจ๊งไม่เป็นท่า ที่ผ่านมาการพิจารณาชั้นอนุกมธ. มีกมธ.ที่มาจากสายสื่อ สนับสนุนให้ออกใบอนุญาต เพราะมองว่าจะมีเกียรติ และมีศักดิ์ศรีมากกว่า อีกทั้งจะสร้างความรักองค์กร เกิดการสร้างสรรค์ และเชื่อว่าเมื่อมีใบอนุญาตแล้วจะทำให้เกิดการกำกับกันเองได้ดีระดับหนึ่ง ที่ผ่านมาแม้จะมีการกำกับกันเอง แต่ยังทำได้ไม่ดี ดังนั้น กรณีของใบอนุญาต และมาตรการตามกฎหมายนี้ จึงเป็นการจัดระเบียบสื่อมวลชน เหมือนกับประเทศสิงคโปร์ที่มีการจัดระเบียบการนำเสนอข่าวสาร ทำให้รัฐบาลเขามีเสถียรภาพ ประเทศเขาพัฒนา มีความเจริญ ซึ่งต่างจากประเทศไทย” พล.อ.อ.คณิตกล่าว

ฟุ้งยกมาตรฐาน-ไม่ล้าหลัง

พล.อ.อ.คณิตกล่าวถึงการกำหนดนิยามที่ครอบคลุมถึงบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เปิดเว็บเพจ หรือ เพจเฟซบุ๊ก เพื่อนำเสนอข่าวสารว่า ถือเป็นการเขียนกฎหมายเพื่อให้เป็นมาตรฐานสากล ไม่ล้าหลัง เพราะที่ผ่านมาการออกกฎหมายถูกมองว่าล้าหลัง ไม่ทันสมัย ตามไม่ทันเทคโนโลยี ดังนั้น การเขียนกฎหมายจึงต้องคิดเผื่อ อีกทั้งรัฐบาลปัจจุบันต้องการพัฒนาประเทศให้เป็นยุค 4.0 กรณีสื่อออนไลน์ที่นำเสนอข้อมูล และมีผลกระทบจำนวนมาก การเขียนกฎหมายด้านสื่อฯ ต้องเขียนให้ครอบคลุม

“สื่อออนไลน์ หรือ เฟซบุ๊กที่จะเข้าข่ายกฎหมายนี้ ต้องกลับไปดูคำนิยามในมาตรา 3 ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หากไม่อยู่ก็ไม่ต้อง เช่น ผมมีเฟซบุ๊ก และส่งข่าวก็ไม่ต้อง แต่หากเป็นธุรกิจ และมีผลกระทบต่อสาธารณะ ต้องถูกกำกับ อีกทั้งเมื่อกฎหมายนี้บังคับใช้ เป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องรู้กฎหมายและเดินเข้ามาลงทะเบียนกับหน่วยงานหรือสภาวิชาชีพสื่อมวลชน แต่หากใครไม่ต้องการลงทะเบียนก็ให้รีบตั้งสื่อของตนเอง เพราะตามร่างกฎหมายจะอนุโลมให้สื่อที่ตั้งก่อนกฎหมายนี้ออก จะได้รับใบอนุญาตโดยอัตโนมัติ” พล.อ.อ.คณิตกล่าว

“ปู”โต้นายกฯปมจำนำข้าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 3/2560 ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ว่านโยบายจำนำข้าว เป็นหนึ่งในนโยบายที่สร้างความสูญเสียให้ประเทศ ทำให้เป็นหนี้ ต้องชดใช้จนถึงปัจจุบัน ปรากฏว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์ข้อความตอบโต้ทันทีว่า

ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติให้จัดซื้อเรือดำน้ำ โดยใช้วาระลับไม่มีการเปิดโอกาสให้หน่วยงานหรือสาธารณชนร่วมตรวจผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินที่ต้องมีภาระคำนึงถึงความจำเป็น ความเหมาะสมความคุ้มค่าและการเปรียบเทียบราคาอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทางราชการและประเทศชาติ และยังเป็นการใช้ภาระงบประมาณสูง ผูกพันหลายปีงบประมาณจนเป็นภาระหนี้ให้กับรัฐบาลถัดๆ ไปในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากนั้น

พล.อ.ประยุทธ์ก็ได้ออกมากล่าวหาถึงโครงการรับจำนำข้าวว่าทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก ต้องมาผ่อนชำระ ชดใช้หนี้ต่างๆ ในระบบการเงินการคลังของประเทศนั้นถือเป็นการให้ร้ายต่อรัฐบาลดิฉันทั้งที่ดิฉันอยากจะบอกว่า ถ้านายกฯ ประยุทธ์กล่าวหาว่าโครงการรับจำนำข้าวทำให้ประเทศเสียหาย ก็น่าจะเทียบได้กับการจัดซื้อรถถัง และเรือดำน้ำ แถมยังมีแผนจะจัดซื้อเพิ่มเติมในอนาคตอีก

เหน็บดีกว่าซื้อเรือดำน้ำ-รถถัง

ดิฉันขอยืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าว เป็นการนำเงินทุกบาททุกสตางค์โอนเงินผ่าน ธ.ก.ส. จ่ายถึงมือชาวนาโดยตรงซึ่งมีผลทำให้ชาวนาได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก เศรษฐกิจดีขึ้น แต่วันนี้พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศมาถึง 3 ปีแล้วยังพบปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องแก้ไขถึงขั้นจะยกเลิกโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ดูแลสุขภาพประชาชน และปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ แต่กลับใช้เงินงบประมาณไปกับการซื้อรถถัง เรือดำน้ำซึ่งในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะต้องซื้ออีกกี่ลำถึงจะสามารถป้องกันประเทศได้ ทั้งๆ ที่อ่าวไทยนั้นตื้นเขิน และยังต้องคำนึงถึงปัญหาเทคนิคด้านประสิทธิภาพที่ยังไม่เป็นข้อยุติ และประเทศก็อยู่ในสภาวะปกติที่ยังไม่มีภัยคุกคามจากเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ข้ออ้างของการจัดซื้อเพื่อใช้ดูแลทรัพยากรชายฝั่งก็คงไม่จำเป็นที่ต้องใช้เรือที่มีราคาแพงขนาดนี้

อย่างนี้ไม่รู้ว่าท่านในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารเลือกที่จะให้น้ำหนักความมั่นคงหรือปากท้องของประชาชนกันแน่ โดยเฉพาะภายใต้การบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ คณะรัฐมนตรีต้องปฏิบัติหน้าที่ให้สอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐและแผนยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งยังร่างไม่แล้วเสร็จ ก็หวังว่าปัจจุบันรัฐบาลนี้อยู่ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ก็ควรจะปฏิบัติตาม

กระทุ้ง 2 หน่วย-ตรวจสอบเข้ม

น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่า ดิฉันจึงหวังว่าหน่วยงานราชการทั้งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จะไม่ละเลยอำนาจหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ โดยเข้ามาตรวจสอบให้เข้มข้น เหมือนกับที่เคยทำกับรัฐบาลพลเรือนในอดีตโดยไม่เลือกปฏิบัติ และมีความเท่าเทียมกัน และไม่ควรมีการอ้างเรื่องชั้นความลับของทางราชการแต่อย่างใด เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาก็มีข้อคิดเห็นหรือทักท้วง ข้อเสนอแนะมาโดยตลอดทั้งทางเทคนิคด้านประสิทธิภาพ ความเหมาะสมกับการใช้งานในการดูแลความมั่นคงรวมถึงภาระหนี้ที่จะเกิดถึงในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วย

ในที่สุดเมื่อวันที่ 18 เม.ย. ครม.ได้เห็นชอบให้ซื้อเรือดำน้ำและเป็นวาระลับโดยไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ ทั้งๆ ที่บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญใหม่บังคับให้ “การบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรี ต้องเปิดเผยและมีความรอบคอบและความระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม”

“วิษณุ”โยนทัพเรือชี้แจง

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่ครม.เมื่อวันที่ 18 เม.ย. อนุมัติโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน S26T ของกองทัพเรือ (ทร.) 1 ลำ มูลค่า 13,500 ล้านบาท โดยไม่มีการแถลงข่าวเนื่องจากถือเป็นเรื่องลับนั้น ว่า คงต้องให้กองทัพเรือเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียด ทั้งการจัดซื้อและใช้งบประมาณในแต่ละครั้ง ไม่ทราบว่าลำต่อไปจะอยู่ที่ราคานี้หรือไม่ เรื่องนี้เข้าที่ประชุมครม.พิจารณาหลายครั้ง ครั้งแรกเสนอกรอบการจัดซื้อ 3 ลำ กรอบแผนงานจึงมีอยู่ 3 ลำ ครั้งล่าสุดอนุมัติ 1 ลำ หากจะจัดซื้อลำต่อไปจะต้องเสนอที่ประชุมครม.พิจารณาอีกครั้ง และให้สำนักงบประมาณพิจารณาถึงความจำเป็นของแต่ละครั้งด้วย

ส่วนรายละเอียด เช่น ซื้อ 2 แถม 1 ตนตอบไม่ถูก ต้องให้กระทรวงกลาโหมหรือกองทัพเรือเป็นผู้ชี้แจง และหากรัฐบาลใหม่เห็นว่าไม่มีความจำเป็น จะไม่ปฏิบัติตามมติครม.นี้ก็ได้ และยกเลิกมติครม.ได้ เพราะอำนาจของรัฐบาลใหม่ทำได้ทั้งนั้น

“ศรีสุวรรณ”ยื่นสตง.สอบ

ที่สตง. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นหนังสือต่อนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการ สตง. ขอให้ตรวจสอบกรณีการดำเนินการของคณะกรรมการจัดทำข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง (ทีโออาร์) และการใช้อำนาจของกองทัพเรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และครม. เป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆ หรือไม่

นายศรีสุวรรณกล่าวว่า การซื้อเรือดำน้ำจากจีนยังมีข้อสงสัยจากสาธารณชนเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับกระบวนการจัดทีโออาร์ รวมถึงการจัดซื้ออุปกรณ์พิเศษที่ติดตั้งมา มีความคุ้มค่ากับการใช้งานหรือไม่ และเห็นว่ายังไม่มีสถานการณ์ขัดแย้งในประเทศรอบข้าง จึงไม่มีเหตุจำเป็นในการสะสมยุทโธปกรณ์ อีกทั้งไม่เปิดเผยข้อมูลที่ประเทศจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนอกวง และตั้งข้อสังเกตว่าครม.อาจฝ่าฝืนระบบวินัยการเงินการคลังของชาติ เป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เป็นไปตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เข้าข่ายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 62 ประกอบมาตรา 75 วรรคแรก และมาตรา 76 หรือไม่

โวยมีฝ่ายมั่นคงโทร.มาเบรก

นายศรีสุวรรณกล่าวอีกว่า ก่อนที่ตนจะมายื่นเรื่องร้องเรียน มีคนจากฝ่ายความมั่นคงโทร.มาหา โดยขอร้องให้ตนยกเลิกการร้องเรียนเรื่องเรือดำน้ำ โดยไม่ได้ระบุเหตุผลประกอบ ซึ่งตนสงสัยว่าทำไมฝ่ายความมั่นคงกระอักกระอ่วนในเรื่องนี้ สิ่งที่ตนทำเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย และไม่ได้ยุยงให้ใครมาชุมนุม จึงขอร้องฝ่ายความมั่นคงอย่าได้คุกคามตน ไม่เช่นนั้นตนจะฟ้องกลับตามกฎหมายกับทุกสายที่โทร.เข้ามา ยิ่งกดดันยิ่งปิดกั้นตน ก็ยิ่งสะท้อนว่าเขาปกครองด้วยระบอบอะไร ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประเทศแน่นอน

ด้านนายพิศิษฐ์กล่าวว่า จะรับเรื่องไปตรวจสอบ ยึดหลักจรรยาบรรณตามวิธีการตรวจสอบงบประมาณด้านความมั่นคงหลักสากล ที่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง แต่ไม่ยืนยันกรอบเวลาที่แน่ชัดได้เพราะต้องใช้เวลา โดยจัดทำข้อสังเกตและข้อแนะนำสะท้อนให้สังคมได้รับรู้ รวมถึงดูเหตุผลความจำเป็นในการใช้งบประมาณ และเห็นว่าหากป้องปราบการส่อการกระทำผิดกฎหมายและหยุดยั้ง น่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่หากกองทัพเรือจำเป็นต้องจัดซื้อ ทีโออาร์ต้องไม่ขัดต่อกฎหมายการเสนอราคาต่อหน่วยของรัฐ ขณะนี้ได้เริ่มการตรวจสอบไปบ้างแล้ว เริ่มดูว่าเหตุผลความจำเป็นในการของบประมาณซื้อเรือดำน้ำนั้นเป็นอย่างไร และมีการศึกษาผลกระทบอย่างไรบ้าง ถ้ามีข้อสังเกตใดที่ต้องรักษาผลประโยชน์ เราจะส่งข้อหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

สตง.การันตีต้องโปร่งใส

“ถ้ามีข้อเสนอใดเราก็พูดได้ ในส่วนที่เป็นความลับถ้าเป็นเรื่องความมั่นคงเราก็ไม่พูดถึง แต่ในกระบวนการต่างๆ เพื่อความโปร่งใสแล้ว เราตรวจสอบได้ อาจต้องใช้เวลาบ้าง ถึงจะบอกว่ากระบวนการจัดซื้อครั้งนี้มีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร การตรวจสอบมีทิศทางตั้งแต่ขั้นตอนของบประมาณเหมาะสมหรือไม่ มีแผนอะไรรองรับถ้ามีปัญหา รวมถึงแผนการดูแลรักษา มีค่าใช้จ่ายแต่ละปีอย่างไร ตามอำนาจของ สตง.แล้วต้องตรวจสอบว่าการใช้จ่ายเงินมีประสิทธิภาพด้วย ครั้งนี้ไม่ได้มีข้อยกเว้น เพียงแต่เราไม่พูดถึงเรื่องความมั่นคง แต่ถ้าเรื่องใดเปิดเผยได้ก็ต้องทำ ที่ผ่านมาเราก็ทำเช่นนี้” นายพิศิษฐ์

เมื่อถามว่าตอนนี้ สตง.มีเอกสารอะไรบ้าง นายพิศิษฐ์กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีเอกสารอะไร เพราะเป็นเอกสารมุมแดงตามที่รัฐบาลระบุมา โดยเป็นเรื่องปกติที่เขาไม่ให้สตง. แต่เราต้องไปตรวจสอบในสถานที่ที่เหมาะสม เพราะเราไม่สามารถรับผิดชอบถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้อมูลความลับต่างๆในเอกสารได้ แต่เราจะส่งคนระดับผู้ใหญ่ที่รักษาความลับทางความมั่นคงเข้าไปตรวจสอบ เพื่อประโยชน์ของการตรวจสอบ และการรักษาความลับ

“แม้ว”ยื่นอุทธรณ์ถูกรีดภาษีแล้ว

รายงานข่าวจากกรมสรรพากรเปิดเผยว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้ส่งตัวแทนยื่นเรื่องอุทธรณ์ภาษีกับสรรพากรภาค 3 แล้ว กรณีถูกกรมสรรพากรประเมินเสียภาษีจากการซื้อขายหุ้น 1.76 หมื่นล้านบาท จากกรณีขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2549 หลังจากนี้กรมจะตั้งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งคณะกรรมการประกอบด้วยกรมสรรพากร และบุคคลภายนอก เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้เสียภาษี

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การยื่นอุทธรณ์ครั้งนี้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม เพราะมองว่ากรมสรรพากรไม่มีอำนาจประเมินตามกฎหมาย ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายใต้กรอบ 30 วัน นับจากเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรปิดประกาศใบประเมินภาษี ที่หน้าบ้านพักจันทร์ส่องหล้าเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเงินถึง 1.76 หมื่นล้านบาท

สรรพากรตั้งกก.พิจารณาใน 2 ปี

นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า การมายื่นอุทธรณ์ภาษี เป็นสิทธิ์ปกติที่ประชาชนทำได้ และดำเนินการตามปกติของผู้เสียภาษีทุกรายที่ไม่เห็นด้วยกับการประเมินภาษีของกรมสรรพากร ไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติหรือเรื่องพิเศษ ต่อจากนี้กรมจะตั้งคณะกรรมการอุทธรณ์มาพิจารณาคดีนายทักษิณ ซึ่งจะใช้มีเวลาพิจารณาไม่เกิน 2 ปี ถึงจะทราบผล และหากผู้เสียภาษีไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยคณะกรรมการอุทธรณ์ ก็ยังฟ้องศาลภาษีอากรได้อีกต่อไป

ก่อนหน้านี้ ฝ่ายกฎหมายของกรมสรรพากรประเมินว่าอดีตนายกฯอาจไม่ยื่นอุทธรณ์ เพื่อแสดงการไม่ยอมรับการประเมินของกรมสรรพากรโดยมิชอบ และจะฟ้องร้องเจ้าหน้าที่กรมที่ดำเนินการครั้งนี้ทั้งหมด แต่สุดท้ายได้ยื่นอุทธรณ์ เพราะเห็นว่าการไม่ยื่นมีความเสี่ยง เนื่องจากถ้าไม่ยื่นตามกำหนด กรมสรรพากรจะยึดทรัพย์ เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ หลักทรัพย์สถาบันการเงิน ที่ดินอสังหาริมทรัพย์ ในชื่อของนายทักษิณ และบุตร รวมถึงคนในครอบครัว ที่คาดว่าได้รับจากอดีตนายกฯ เพื่อมาชำระภาษี

“บิ๊กตู่”บินถกอาเซียนซัมมิท

เมื่อวันที่ 27 เม.ย. พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)พร้อมคณะ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 30 และการประชุมสุดยอดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 28-30 เม.ย. ที่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ซึ่งปีนี้เป็นปีครบรอบ 50 ปีการก่อตั้งอาเซียน มีหัวข้อการประชุมคือ “Partnering for Change, Engaging the World” ประเทศสมาชิกอาเซียนจะร่วมกันทบทวนว่า อาเซียนควรปรับปรุงในด้านใดเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

พล.ท.วีรชน กล่าวว่า นายกฯ จะเน้นการเสริมสร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีความเชื่อมโยงอย่างสร้างสรรค์กับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและกับโลก ผลักดันให้อาเซียนเร่งสร้างความเชื่อมโยงไร้รอยต่อทั้งภายในและภายนอกอาเซียนตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. 2025 และเพิ่มความเข้มแข็งภายในและสร้างภูมิคุ้มกันจากภัยคุกคามรูปแบบใหม่ต่างๆ รวมถึงเน้นการพัฒนาไปสู่ประชาคมที่ส่งเสริมความมั่นคงของมนุษย์ ความร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัยของอาเซียน

สำหรับผลลัพธ์การประชุม ได้แก่ 1.Chairman”s Statement of the 30th ASEAN Summit ซึ่งฟิลิปปินส์ในฐานะประธานอาเซียนจะออกแถลงการณ์ 2.ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยบทบาทของราชการพลเรือนในฐานะผู้เร่งรัดให้วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน 2025 บรรลุผล ซึ่งผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนลงนามร่วมกัน

ศาลสั่ง”ศิริโชค”ชดใช้2ล.คดีหมิ่น

เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำพิพากษาในคดีที่นายอนุชา สิหนาทกถากุล นักธุรกิจตระกูลดัง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายศิริโชค โสภา อดีตส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีหมิ่นประมาทโดยคำฟ้องโจทก์ระบุว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค.-26 ต.ค.2558 นายศิริโชค จำเลยได้กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายฝ่าฝืนต่อความจริงด้วยการใส่ความนายมนตรี บิดาโจทก์ด้วยการโพสต์เฟซบุ๊กซึ่งเป็นการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และเป็นการแพร่หลายทั่วประเทศ ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่า บิดาโจทก์กระทำผิดต่อกฎหมายและหลอกลวงโกงมารดาของจำเลย กับบุคคลอื่นๆ ทำให้โจทก์และบุคคลในครอบครัวได้รับความเสียหายรวมทั้งกระทบต่อธุรกิจของโจทก์อย่างร้ายแรง จึงขอให้จำเลยชำระเงิน 20 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ ขณะที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ได้เป็น ผู้ใส่ความหรือนำข้อมูลตามที่โจทก์กล่าวหา เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และบัญชีเฟซบุ๊กนั้นก็ไม่ใช่ของจำเลย

ศาลแพ่งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Sirichok Sopha มีที่อยู่ของเว็บไซต์บนอินเตอร์เน็ตหรือ URL เป็นของจำเลยและจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความโดยนำเอกสารที่เขียนด้วยลายมือ มาลงประกอบ แม้ข้อความบางส่วนจะนำมาจากข้อความในเอกสารที่จำเลยอ้างว่าเป็นลายมือเขียนของบุคคลอื่น แต่เมื่อข้อความนั้นฝ่าฝืนต่อความจริง การกล่าวหรือไขข่าวซ้ำก็เป็นการกระทำละเมิด อีกทั้งข้อความที่จำเลยโพสต์นั้นไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้ได้รับความเสียหาย ศาลแพ่งจึงมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 2 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีและให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์เป็นเวลา 7 วัน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

ทูตสหรัฐพบบิ๊กตู่ถกศึก”คิม”

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 27 เม.ย. ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกลิน ที เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. โดยไม่มีการแจ้งกำหนดการ ใช้เวลาหารือประมาณ 1 ชั่วโมง

รายงานข่าวเปิดเผยว่า ประเด็นสำคัญในการหารือเกี่ยวกับการประชุมสุดยอดอาเซียน ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต้องเดินทางไปเข้าร่วม ระหว่างวันที่ 28-30 เม.ย.นี้ ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ทางสหรัฐต้องการให้ทุกประเทศในกลุ่มอาเซียนยึดตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 2321 (ค.ศ.2016) เกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ

วันเดียวกัน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ทางการเกาหลีเหนือของนายคิม จองอึน พยายามขอการสนับสนุนจากชาติอาเซียน ในการรับมือกับสหรัฐ โดยนายรี ยองโฮ รมว.ต่างประเทศเกาหลีเหนือส่งจดหมายถึงเลขาธิการอาเซียนที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เตือนว่า สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีอาจเข้าไปถึงจุดที่เสี่ยงสู่สงครามเพราะการกระทำของสหรัฐ จึงอยากให้อาเซียนที่มีความสำคัญในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงในเวทีการประชุมอาเซียนกล่าวถึงการซ้อมรบทางทหารของสหรัฐด้วยจุดยืนที่ยุติธรรมและรักษาสันติภาพและความปลอดภัยให้คาบสมุทรเกาหลีด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน