เมื่อวันที่ 28 เม.ย. นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กว่า เห็นๆกันอยู่ว่าคณะรัฐมนตรีมีมติซื้อเรือดำน้ำอย่างไม่สมควร ไม่โปร่งใสจนคนจำนวนมากออกมาทักท้วงคัดค้าน แทนที่จะสนับสนุนให้มีการรับฟังความคิดเห็นให้มาก เพื่อไตร่ตรองเสียใหม่และแก้ไขให้ถูกต้อง กลับพากันเบี่ยงเบนประเด็นไปโทษ และไปเทียบกับเรื่องจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลก่อน ไม่ทำจำนำข้าวต่อ แล้วยังไม่มีปัญญาหาวิธีช่วยให้ชาวนามีรายได้ที่เหมาะสมกับต้นทุนการผลิต ทำให้ชาวนากว่า 3.7 ล้านครอบครัว คิดเป็นราษฎรมากกว่า 15 ล้านคนรายได้ตกต่ำจนไม่มีกำลังซื้อ ไม่มีคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจไม่เติบโตตามศักยภาพ เก็บภาษีไม่เข้าเป้า กลายเป็นข่าวโด่งดังว่าเงินคงคลังที่เคยมีมากกว่า 4 แสนล้าน หดหายเหลือไม่ถึงแสนล้าน แม้จะกู้เงินมากมายมาชดเชยงบประมาณขาดดุลในแต่ละปีที่มากขึ้นๆ แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้เศรษฐกิจดี เพราะไม่มีวิธีการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างได้ผล

นายกิตติรัตน์ ระบุว่า แม้จะสร้างหนี้สาธารณะใหม่มากมาย แต่ย่อมไม่เกิดประโยชน์ถ้าใช้จ่ายเงินอย่างรั่วไหล และเงินที่ใช้จำนวนมากกลายเป็นงบด้านความมั่นคงที่ตรวจสอบไม่ได้ แล้วยังจะดึงดันซื้อเรือดำน้ำแบบปิดๆ บังๆ ข้อมูลอีก ผู้คนมากมายต่างสงสัยว่า ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีความคิด หรือไม่มีความสุจริตกันแน่ วิธีเบี่ยงประเด็น ไม่ได้ผลหรอก ผู้คนรู้ทันและเห็นประจักษ์กันหมดแล้วว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีความคุ้มค่า และช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียนเติบโต สามารถเก็บภาษีเข้าเป้า รัฐบาลที่แล้วบริหารหนี้สาธารณะอย่างรัดกุมจนทำให้ภาระหนี้ ซึ่งหมายถึงภาระดอกเบี้ยและเงินต้นในงบประมาณแต่ละปีลดลงจากเดิมมากมาย สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อขนาดของเศรษฐกิจที่วัดด้วยจีดีพี ก็มีความเข้มแข็ง ขณะที่รัฐบาลปัจจุบันตั้งหน้าตั้งตากู้มาใช้จ่ายอย่างขาดยุทธศาสตร์ โดยที่กำลังเห็นกันอยู่ชัดๆ ในขณะนี้ก็คือ โครงการซื้อเรือดำน้ำที่มีแต่ก่อภาระอันไม่สมควร

“ในฐานะอดีตรองนายกฯ ที่เคยสนับสนุนให้ดำเนินการต่อเรือตรวจการใหม่ เพื่อทดแทนเรือรบหลวง “พระพุทธยอดฟ้าฯ” ที่กำลังจะปลดระวางลง เป็นสิ่งยืนยันว่าผมมิได้มีอคติใดๆ ต่อภารกิจของกองทัพเรือในการปกป้องอธิปไตย และประโยชน์เศรษฐกิจทางทะเลของชาติ แต่ผมขอคัดค้านการจัดซื้อเรือดำน้ำ” นายกิตติรัตน์ ระบุ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน