“ปิยบุตร” ชง ตั้ง กมธ. ต้านรัฐประหาร ให้เขียนรัฐธรรมนูญ รองรับอำนาจประชาชน ต้านปฏิวัติ ด้าน “วันนอร์” อัด สถาบันพระปกเกล้า ไม่ปกป้องประธิปไตย แต่รับใช้เผด็จการ จี้ “ชวน” ฐานะประธานสถาบันฯ ปรับปรุงด่วน

เมื่อวันที่ 6 ก.พ. เวลา 10.40 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกในอนาคต ตามที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ และคณะเป็นผู้เสนอ

นายปิยบุตร อภิปรายว่า 88 ปีในระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยมีการรัฐประหาร 13 ครั้ง หรือทุก 6 ปีจะมีรัฐประหาร 1 ครั้ง ข้ออ้างการทำรัฐประหารจะเป็นเรื่องเดิมๆ คือรัฐบาลมีพฤติกรรมบ่อนทำลายสถาบัน การทุจริตของรัฐบาล การขัดแย้งกับกองทัพ การรัฐประหารเป็นวงจรอุบาทว์ที่สิงสถิตในประเทศไทยจนประชาชนรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นยาสามัญประจำบ้าน เวลาเกิดวิกฤตก็ไปเรียกรัฐประหารออกมา

ทั้งที่ถือเป็นอาชญากรสูงสุดของประเทศ เป็นการตัดตอนพัฒนาประชาธิปไตย มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะรัฐประหารปี 2557 ที่สร้างผลประโยชน์ให้กลุ่มทุนใหญ่ ดังนั้น การรัฐประหารจึงไม่ได้เข้ามาปราบโกงทุกครั้ง แต่เมื่อรัฐประหารจากไปจะมีปัญหาทุจริตตามมา การรัฐประหารจึงไม่ใช่เครื่องมือปราบโกง แต่เป็นการเปิดโอกาสให้นายทหารเข้ามาครองอำนาจ ทุจริตคอร์รัปชั่น ถือเป็นการคอร์รัปชั่นรูปแบบใหม่ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้

“การตัดตอนรัฐประหารมีหลายวิธีได้แก่ 1.การปฏิรูปกองทัพให้สอดคล้องประชาธิปไตย ต้องให้รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือทหาร ไม่ใช่ทหารขี่คอรัฐบาลพลเรือน 2.มาตรการทางกฎหมาย ให้ระบุลงไปประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ว่า ประชาชนเป็นผู้เสียหายจากการกบฏ เพื่อมิให้ศาลบอกว่า ประชาชนไม่ใช่ผู้เสียหายเมื่อมีการดำเนินคดีกับผู้ทำรัฐประหาร รวมถึงให้ระบุในรัฐธรรมนูญว่า ห้ามตุลาการยอมรับการทำรัฐประหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ตลอดจนให้มีการรองรับอำนาจปวงชนชาวไทยในการต่อต้านรัฐประหาร

นอกจากนี้ต้องนำตัวผู้ทำรัฐประหารมาลงโทษเมื่อกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ เหมือนอย่างที่หลายประเทศทำมาแล้วได้ผล เช่น อาเจนติน่า กรีก ฝรั่งเศส ตุรกี ถ้าประเทศไทยทำได้จะไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก” นายปิยบุตรกล่าว

นายปิยบุตรกล่าวว่า อีกวิธีคือการกำหนดให้ความผิดต่อมวลมนุษยชาติเป็นความผิดอาญาระหว่างประเทศ ต้องนำตัวไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ หากไปเข่นฆ่าประชาชน แม้จะนิรโทษกรรมให้ตัวเอง แต่ก็ไม่รอดพ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ใครคิดปราบปรามประชาชนจะทำไม่ได้ แต่ประเทศไทยไม่ให้สัตยาบันในการรับรองศาลอาญาระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันรัฐประหารไม่ใช่เรื่องมาตรการทางกฎหมายและการปฏิรูปกองทัพ แต่คือการปลุกจิตสำนึกประชาชน นักการเมือง ข้าราชการว่าหากมีการยึดอำนาจให้ประชาชน นักการเมือง ข้าราชการ พร้อมใจกันต่อต้าน และต้องขจัดมายาคติว่า รัฐประหารคือยาวิเศษ แต่คือความผิดที่ต้องช่วยกันต่อต้าน เพื่ออนาคตลูกหลานและประเทศ

จากนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชาติ อภิปรายว่า คณะรัฐประหารมักอ้างว่านักการเมืองไม่ดี จึงเข้ามาเพื่อปฏิรูปการเมือง แต่หลายครั้งกลับทำลายไม่สามารถปฎิรูปได้ และขยายอำนาจเพื่อประโยชน์กับพวกพ้อง ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจากรัฐประหาร กลุ่มแรก คือ ส.ส.และนักการเมืองทั้งหลายที่ถูกเอาบาปมาใส่ และประชาชนทั่วไปก็ได้รับผลกระทบมาก

สาเหตุที่ทำให้เกิดรัฐประหารคือ เป็นการแย่งอำนาจเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจทั้งๆที่ผิดกฎหมาย ทั้งที่ไม่ได้รับมอบหมายจากประชาชนเจ้าของอำนาจอย่างแท้จริง เหมือนปล้นอำนาจมาจากประชาชน และทำรัฐประหารแล้วไม่ผิดหรือผิดก็สามารถออกกฎหมายนิรโทษตัวเองได้ ถ้าใครมีโอกาสเช่นนี้เขาก็ไม่พลาด เพราะทำแล้วไม่ผิด

“วันนี้เราลองตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาจากทุกพรรคการเมือง และบุคคลภายนอกเข้ามาดูว่าจะมีวิธีการป้องกันอย่างไรบ้าง อย่างน้อยก็เป็นแนวคิดเพื่อการศึกษา หากสภาของเราซึ่งเป็นสภาของประชาชน แม้แต่จะคิดป้องกันประชาชนไม่ให้ถูกปล้นอำนาจ ป้องกันไม่ให้ใครมาประณามเราอย่างไม่ถูกต้อง ดังนั้น เราต้องกล้า เพื่อให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในอนาคต ผมจึงหวังว่าจะได้รับความกล้าหาญและความคิดริเริ่มจากผู้แทนของประชาชน”นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวต่อ ว่า เนื่องจากการศึกษาด้านการเมืองของเรายังมีน้อย ควรต้องส่งเสริมเรื่องความเป็นประชาธิปไตยในสถาบันศึกษาทุกระบบ รวมทั้งสถาบันทหารด้วย และประเทศเรายังขาดสถาบันการเมืองที่ให้ประชาชนมีสวนร่วม

แม้แต่สภาพัฒนาการเมืองที่เราเคยมี ก็ถูกยกเลิกโดยคณะรัฐประหาร ซึ่งตนหวังว่าสถาบันพระปกเกล้าน่าจะเป็นสถาบันทางการเมือง ที่ปกป้องประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สถาบันพระปกเกล้าส่งเสริมประชาธิปไตยเพียงน้อยนิด บางครั้งก็ไปรับใช้เผด็จการเพราะอยากมีอำนาจ

ดังนั้น นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ในฐานะประธานสถาบันพระปกเกล้า ควรพิจารณาปรับปรุงแนวทางของสถาบันให้เป็นสถาบันที่ปกป้องประชาธิปไตย แทนที่จะให้ความร่วมมือกับเผด็จการ และผู้ทำรัฐประหาร แล้วเมื่อได้อำนาจได้ประโยชน์ ก็สามารถส่งเสริมพวกพ้องให้ได้ประโยชน์ คือกลุ่มนายทุน ขุนศึกทั้งหลาย โดยไม่ได้พัฒนาประเทศ

นอกจากงานเพียงบางกลุ่ม เมื่อหมดอำนาจไปปรากฏว่าร่ำรวย เพราะไม่ได้แค่ปล้นอำนาจของประชาชน ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น แต่ขยายไปถึงฝ่ายบริหารด้วย ดังนั้น แนวคิดที่จะป้องกันรัฐประหารในอนาคต เราต้องศึกษาและสร้างกฎหมายที่สามารถป้องกันรัฐประหารได้ ทำให้ทหารเป็นทหารอาชีพ ไม่ใช่ทหารการเมือง

ขณะที่นายคารม พรพลกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายว่า ตนไม่ได้รังเกียจทหาร สมัยตนเป็นเด็กเวลาฟังเพลงมาร์ชวันยึดอำนาจ มีความรู้สึกว่าทหารเป็นผู้แก้ปัญหา แต่ตนรับรู้มาภายหลังว่า ทำไมทหารถึงเป็นพระเอกขี่ม้าขาวทุกครั้ง ทั้งๆที่ก็ขี่รถถังมา เป็นม้าสีเขียว และมีความผิดฐานกบฎด้วย แต่ทุกครั้งที่มีการยึดอำนาจก็มีการนิรโทษตัวเอง อ้างสารพัดว่าบ้านเมืองขัดแย้ง นักการเมืองฉ้อฉลทุจริต

สุดท้ายทหารที่เข้ามาก็ทำในสิ่งที่ไม่แตกต่างจากนักการเมือง ตนจึงจำเป็นต้องทวงถามว่า เพราะอะไรการรัฐประหารถึงยังเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ซึ่งตนคิดเรื่องนี้ หากศาลองค์คณะหนึ่งคณะใด กล้าที่จะปฏิเสธอำนาจจากการรัฐประหาร ประเทศนี้จะไม่มีการยึดอำนาจอีกแน่นอน

ดังนั้น ญัตตินี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง อยากขอความเมตตาจากสมาชิกเพื่อร่วมลงมติสนับสนุนญัตตินี้ จะให้กราบก็ยินดี แม้หลายคนจะบอกว่า หากสภาตั้งกรรมาธิการคณะนี้แล้วก็ป้องกันการรัฐประหารไม่ได้ แต่ตนอยากให้สภาทำเรื่องนี้ เพราะเป็นการยืนยันด้วยการแสดงออกว่าพวกเราไม่เอาการยึดอำนาจ การยึดอำนาจไม่มีประโยชน์ เพราะมีนายพลรวยจากการยึดอำนาจไม่กี่คน มีนายพลที่ขึ้นสู่ตำแหน่งโดยใช้วิธีการนอกระบบ ข้ามศีรษะเพื่อนไปยืนอยู่เบอร์ต้นๆ ของกองทัพจากการใช้อำนาจโดยไม่ชอบ


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน