ยุบ สธ.แก้บัตรทอง

ใบตองแห้ง

“เรื่องร่วมจ่ายมาตรานี้ ให้คงไว้เป็นความคล่องตัวสำหรับอนาคต อาจให้คนรวยร่วมจ่าย คนยากไร้จะได้ประโยชน์”

และแล้ว อ.วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานคณะกรรมการแก้ไขกฎหมายบัตรทอง ก็ “เผยไต๋” ที่ว่าไม่ลดสิทธิประชาชน เอาเข้าจริงก็จะให้ “ร่วมจ่าย”

ฟังเหมือนถูกใช่ไหม เรื่องอะไรให้คนรวยใช้ฟรี แต่ถามจริง คนรวยใช้บัตรทองหรือ เอาเข้าจริง คนที่ต้อง”ร่วมจ่าย”ก็น่าจะเป็นชาวบ้านทั่วไป คนระดับกลางๆ ล่างๆ คละเคล้ากันไป เพราะยกเว้นคนมั่งคั่ง 1% (ซึ่งเผลอๆ ก็ย่องมาใช้สิทธิพ่อแม่ลูกข้าราชการ) คุณแยกคนรวยคนจนได้อย่างไร ท้ายที่สุดก็อาจใช้ “ลงทะเบียนคนจน 14 ล้านคน” รักษาฟรี แล้วให้อีก 34 ล้านคน “ร่วมจ่าย”

ถ้าทำอย่างนั้นก็คงบรรลุเป้าหมาย ทำลายความหมายของ “30 บาทรักษาทุกโรค” “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ซึ่งกำหนดให้เป็นสิทธิเท่าเทียม สวัสดิการประชาชน

อย่าลืมนะครับ ก่อนมี 30 บาท คนจนก็รักษาฟรี แต่ใช้ระบบสงเคราะห์ด้วยความเมตตาของทางราชการ 30 บาททำให้คนจนยืดอกพกบัตรทองไปใช้สิทธิที่เรียกร้องได้ สวัสดิการที่รัฐบาลเลือกตั้งมอบให้ ถ้าทำลายสิทธิเท่าเทียม มีขั้นมีชั้น มันก็ย้อนไปเหมือนเดิม

การเผยไต๋”ร่วมจ่าย”ยังเป็นคำตอบว่า เหตุใดพวกท่านจึงแก้กฎหมาย ทั้งที่รู้ว่าจะทำให้งบบัตรทองบานปลาย อย่างที่เคยทักท้วงไว้

การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้เอาใจบุคลากรสาธารณสุข 2 ประเด็นใหญ่ คือหนึ่ง ไม่พอใจ สปสช.ควบคุมมาตรฐานการรักษาและเบิกจ่าย จึงอยากเข้าไปมีอำนาจเหนือบอร์ด ให้ร.พ.เบิกได้ตามต้องการ ไม่ใช่ตามราคาที่เหมาะสม

สอง ไม่พอใจระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่เอาค่าใช้จ่ายรายหัวคูณจำนวนประชากร มาจำกัดจำนวนบุคลากรของร.พ. จึงต้องการให้แยกเงินเดือน

ทั้งสองเรื่องจะทำให้งบบานปลาย แต่พวกท่านคิดไว้ล่วงหน้าแล้วไง step ต่อไป เมื่องบไม่พอ ก็อาจรักษาฟรีแค่ 14 ล้านคน อีก 34 ล้านคนให้ “ร่วมจ่าย”

ถ้ามองอย่างทำความเข้าใจ ปัญหาของนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ติดตัวมาแต่เกิด ก็คือทำให้เกิด “เสือสองตัว” ในระบบสาธารณสุข แบบที่ฝ่ายหนึ่งเพิ่งบ่นน้อยอกน้อยใจเป็น “มดงาน” แล้วประชาชนคือสิงโต ก็ไปจ้าง “แมลงสาบ” มาเป็นเจ้านาย

กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้บังคับบัญชาร.พ. แต่รายได้หลักของร.พ.มาจาก สปสช.ซึ่งจ่ายเบี้ยประกันรายหัวตามหลัก “ทำงานมากได้มาก ทำงานน้อยได้น้อย” กระทรวงมีอำนาจแต่งตั้งโยกย้าย บรรจุ เลื่อนขั้น แต่ร.พ.ถูกตรึงด้วยงบรายหัว ให้มีบุคลากรเหมาะสมกับประชากร มีมากก็ “ขาดทุน” แถมร.พ.ต้องบริหารค่าใช้จ่ายเอง แพทย์ก็ต้องรักษาตามเกณฑ์ทั้งคุณภาพราคาแล้วส่งบิลมาเบิก “บริษัทประกัน”

ไม่แปลกเลยที่บุคลากรสาธารณสุขอึดอัดคับข้อง โกรธ สปสช.หาว่าเป็น “พ่อค้าคนกลาง” “กินหัวคิว” รุมโจมตีแบบทำลายล้าง โดยมีธุรกิจยา ธุรกิจประกัน ธุรกิจร.พ.เอกชน และแพทย์พาณิชย์ ผสมโรง

ถามว่ากระทรวงและบุคลากรส่วนใหญ่อยากล้มบัตรทองไหม โอ๊ย ไม่ใจดำขนาดนั้น แค่อยากรักษาฟรีโดยกลับไปใช้ระบบเบิกจ่ายสบายๆ เงินหมดก็ขอใหม่ ไม่ต้องปวดหัวทำบิล ไม่ต้องจำกัดบุคลากร ขอย้ายไปอยู่ตัวเมืองได้ง่าย แล้วเราจะรับใช้ประชาชนอย่างมีความสุข

แต่ทำแบบนั้นงบพอไหม ปัจจุบัน 1.6 แสนล้านเพิ่มเป็น 2.5 แสนล้านอาจไม่พอ งั้นทำไง “ร่วมจ่าย” สิ ชาวบ้านต้องร่วมจ่าย เพื่อให้บุคลากรสาธารณสุขทำงานรับใช้ท่านอย่างมีความสุข

นั่นละครับท่านผู้ชม ความต้องการแก้กฎหมาย แค่สงสัยอย่างเดียว ทำไมไม่ยุบ สปสช.โอนอำนาจกลับกระทรวงให้หมดเลย

อ้าว พูดจริงนะ เพราะมีหลายคนเห็นพ้องว่าปัญหาอยู่ที่ “เสือสองตัว” นี่แหละ ต้องยุบทิ้งซักองค์กร เพียงแต่ผมคิดสวนทาง ยุบกระทรวงเลยดีกว่า

เฮ้ย ยุบกระทรวงได้ไง ได้สิครับ ความหมายคือแยกร.พ.เป็นอิสระ อาจเป็นองค์กรมหาชนแบบร.พ.บ้านแพ้ว หรือออกนอกระบบเป็นกลุ่ม ยึดโยงจังหวัด ท้องถิ่น บริหารจัดการตัวเอง ดึงท้องถิ่นดึงประชาชนมีส่วนร่วม แบบ “ร.พ.ประชารัฐ” ที่น้ำพอง ซึ่งกระทรวงคุยนักหนานั่นละ เพราะอันที่จริง ทิศทางที่หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ วางไว้คือ “กระจายอำนาจ” แต่มันไปไม่สุด

แล้วกระทรวงทำอะไร ก็ทำงานนโยบาย ดูภาพกว้าง เช่น กรมควบคุมโรค งานวิชาการ เช่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อันไหนไม่จำเป็นก็ยุบทิ้งซะ เกลี่ยบุคลากรลงพื้นที่ ในเมื่อไม่ได้รักษาคนไข้จะใหญ่โตอยู่ได้ไง

แต่นั่นคือทิศทางของรัฐประชาธิปไตย รัฐราชการเป็นใหญ่ไม่เอาแน่ รักษาระบบราชการไว้ ให้ชาวบ้านร่วมจ่ายดีกว่า

(หน้า 6)

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน